ลองมาทดสอบภาษาอังกฤษกันครับ เหมาะมากสำหรับน้องๆ ที่เรียนหัวข้อ Present Simple Tense
โดยอ่านประโยคแล้วสังเกต คำกริยาในประโยคว่าถูกหรือผิด ถ้าผิดควรเปลี่ยนเป็นคำว่าอะไร ไม่มีตัวเลือกให้นะครับ
เตือนเต้นดี....
1. He are an old man.
2. She is in the room.
3. We lives with me.
4. They plays football after school.
5. Sugar am sweet.
6. I are Thai.
7. You am Korean.
8. Jim often reads a book.
9. He goes to school every day.
10. I eats rice.
11. The boy sleeps in his room.
12. That water are hot.
13. Tim usually listen to music.
14. We goes to the zoo.
15 Suda teaches Maths.
16. Bee studys Thai on Tuesday.
17. Lily likes singing.
18. Kate has a white cat.
19. Darin and I has 3 pens.
20. Nana live in this house.
21. Maya does her homework.
22. It is not a ring.
23. You am not a nurse.
24. I don't understand.
25. They is pencils.
26. Rose can swims.
27. Bell doesn't drink milk.
28. He drinks tea.
29. I are a singer.
30. We have dinner at 18.30.
** เฉลย **
1 is 2 ถูกแล้ว 3 live 4 play 5 is
6 am 7 are 8 ถูกแล้ว 9 ถูกแล้ว 10 eat
11 ถูกแล้ว 12 is 13 listens 14 go 15 ถูกแล้ว
16 studies 17 ถูกแล้ว 18 ถูกแล้ว 19 have 20 lives
21 ถูกแล้ว 22 ถูกแล้ว 23 are 24 ถูกแล้ว 25 are
26 swim 27 ถูกแล้ว 28 ถูกแล้ว 29 am 30 ถูกแล้ว
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โจทย์ภาษาอังกฤษ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โจทย์ภาษาอังกฤษ แสดงบทความทั้งหมด
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ภาษาอังกฤษ-เฉลยแบบฝึกหัด3
จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1. _____ is eating food.
a. Bats b. A rat c. Rats d. An rat
เฉลยคือ b. A rat
สังเกตจาก คำกริยาคือ is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, c จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามพหูพจน์
ส่วนตัวเลือก d. ผิด เพราะ rat ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า หนูกำลังกินอาหาร
2. _____ is on the tree.
a. Cats b. an bat c. birds d. An owl
เฉลยคือ d. An owl
สังเกตจาก คำกริยาคือ is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, c จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามพหูพจน์
ส่วนตัวเลือก b. ผิด เพราะ bat ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า นกฮูกตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้
3. Two birds _____ yellow and blue.
a. Are a b. are c. am d. is
เฉลยคือ b. are
สังเกตจาก ประธาน birds(นกหลายตัว) เป็นพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า นก 2 ตัวเป็นสีเหลืองและสีฟ้า
4. _____ is swimming in the pool.
a. Ducks b. ducks c. An duck d. A duck
เฉลยคือ d. A duck
สังเกตจาก คำกริยาคือ is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, b จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามพหูพจน์
ส่วนตัวเลือก c. ผิด เพราะ duck ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า เป็ดตัวหนึ่งกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ
5. Those are _____.
a. fly b. flyes c. a fly d. flies
เฉลยคือ d. flies
สังเกตจาก คำกริยาคือ are ที่ใช้กับประธานพหูพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, c จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามเอกพจน์
รูปพหูพจน์ของ fly คือ flies
ประโยคนี้แปลว่า นั้นแมลงวันหลายตัว
fly (n) = แมลงวัน
fly(v) = บิน
6. Those are _____.
a. toys b. toies c. a toy d. toyes
เฉลยคือ a. toys
สังเกตจาก คำกริยาคือ are ที่ใช้กับประธานพหูพจน์
รูปพหูพจน์ของ toy คือ toys
ประโยคนี้แปลว่า นั้นของเล่นหลายชิ้น
7. A: What is that?
B: It’s _____.
a. planes b. planies c. plans d. a plane
เฉลยคือ d. a plane
สังเกตจาก It’s ย่อยมาจาก It is ใช้กับคำนามเอกพจน์
รูปพหูพจน์ของ plane คือ planes
ประโยคนี้แปลว่า
A: นั่นอะไร?
B: มันเป็นเครื่องบิน
8. Is that ______ ? Yes, it is.
a. a watch b. watchs c. a watch d. watches
เฉลยคือ a. a watch
สังเกตจาก Is ใช้กับคำนามเอกพจน์
รูปพหูพจน์ของ watch คือ watches
watch (n) = นาฬิกาข้อมือ
watch (v) = เฝ้าดู
ประโยคนี้แปลว่า นั้นนาฬิกาข้อมือใช่ไหม? ใช่
9. She has _____ and _____.
a. a salt, a butter b. sugar, a salt
c. salt, butter d. tea, a water
เฉลยคือ c. salt, butter
salt = เกลือ butter = เนยแข็ง
sugar = น้ำตาล tea = น้ำชา
water = น้ำ
เป็นคำนามเอกพจน์ชนิดที่นับไม่ได้
ดังนั้น ไม่ต้องใช้ a, an นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีเกลือกับเนยแข็ง
10. _____ are in the field.
a. Cows b. Rats c. Bats d. An owl
เฉลยคือ a. Cows (วัวตัวเมียหลายตัว)
สังเกตจากคำว่า are เป็นใช้กับคำนามพหูพจน์
ดังนั้น ตัวเลือกข้อ d. An owl ไม่ถูกต้องเ
พราะเป็นคำนามเอกพจน์
ตัวเลือกข้อ b. c. แม้จะเป็นคำนามพหูพจน์ไม่ถูก
เพราะไม่เข้ากับความหมายของประโยคคือ
วัวตัวเมียหลายตัวอยู่ในทุ่งหญ้า
11. She has _____.
a. an apples b. dishes c. a tea d. a mangoes
เฉลยคือ b. dishes
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีจานหลายใบ
ตัวเลือกอื่นผิด เพราะ
ตัวเลือก a. an ใช้นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ที่ขึ้นด้วยสระ
แต่ apples เป็นรูปพหูพจน์
ตัวเลือก c. tea เป็นคำนามนับไม่ได้ จึงไม่ต้องใช้ a นำหน้า
ตัวเลือก d. a เป็นคำนามนับเอกพจน์ที่ขึ้นตัวด้วยสระ
แต่ mangoes เป็นรูปพหูพจน์
รูปพหูพจน์ของ apple คือ apples (แอปเปิ้ล)
รูปพหูพจน์ของ dish คือ dishes (จาน)
รูปพหูพจน์ของ mango คือ mangoes (มะม่วง)
12. Suda and Mana have______.
a. brushes b. an brush
c. brushs d. a brushes
เฉลยคือ a. brushes เป็นรูปพหูพจน์ของ brush(แปรง)
ตัวเลือกข้อ b ผิดเพราะ brush เป็นคำนามเอกพจน์
ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ตัวเลือกข้อ d. ผิดเพราะ a ใช้นำหน้าคำนามนับได้
เอกพจน์ที่ขึ้นด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า สุดาและมานะมีแปลงหลายอัน
13. A: What are those?
B: ____________
a. It is a key b. They are keyes
c. They are keys d. It are keys
เฉลยข้อ c. They are keys
เพราะ What are those? แปลว่า พวกนั้นคืออะไร
เป็นประโยคคำถามมีความหมายแบบพหูพจน์
ดังนั้นคำตอบที่ถูกที่สุดคือ They are keys
พวกมันเป็นกุญแจ
รูปพหูพจน์ของ key คือ keys (กุญแจ)
ประโยคนี้แปลว่า A: นั้นคืออะไร?
B: พวกมันเป็นกุญแจ
14. There is not ______ in my classroom.
a. mopes b. Mopies c. a mop d. mop
เฉลยข้อ c. a mop (ไม้ถูพื้น)
สังเกตจาก There is = มี ใช้เป็นประธานซึ่งต้องตาม
ด้วยคำนามเอกพจน์และ mop เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะจึงต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า ไม่มีไม้ถูพื้นอยู่ในห้องเรียน
15. She has a _____ and two _____
a. a dog, cats b. dog, cats
c. dogs, cats d. dog, caties
เฉลยข้อ b. dog, cats
ช่องที่ 1 สังเกตจาก a นำหน้าคำนามที่ตามมา
ต้องเป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ช่องที่ 2 สังเกตจาก two (สอง) ให้ทราบว่าคำนาม
ที่ตามมาต้องเป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีสุนัข 1 ตัวและแมว 2 ตัว
16. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. soup = น้ำแกง b. sugar = น้ำตาล
c. salt = เกลือ d. pepper = พริกไทย
เฉลยข้อ a เพราะ soup เป็นของเหลวและเป็นอาหาร
ตัวเลือกอื่นเป็นเครื่องปรุง
เพิ่มเติม ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ เป็นคำนามนับไม่ได้ทั้งหมด
17. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. bat = ค้างคาว b. cat = แมว
c. rabbit = กระต่าย d. dog = สุนัข
เฉลยข้อ a เพราะเป็นสัตว์ที่มีปีกและบินได้
ตัวเลือกอื่นเป็นสัตว์ 4 ขา
18. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. fish = ปลา b. bird = นก
c. hen = แม่ไก่ d. duck = เป็ด
เฉลยข้อ a เพราะเป็นสัตว์ที่อาศัยในน้ำ
19. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. blue = สีฟ้า
b. black = สีดำ
c. brown = สีน้ำตาล
d. ball = ลูกบอล
เฉลยข้อ d
20. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. two = สอง
b. one = หนึ่ง
c. three = สาม
d. fourth = ลำดับที่ 4
เฉลยข้อ d เป็นตัวเลขใช้แสดงลำดับใช้ วันที่, ชั้นของตึก
ตัวเลือกอื่นเป็นตัวเลขแสดงปริมาตร
* * * * * * * *
1. _____ is eating food.
a. Bats b. A rat c. Rats d. An rat
เฉลยคือ b. A rat
สังเกตจาก คำกริยาคือ is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, c จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามพหูพจน์
ส่วนตัวเลือก d. ผิด เพราะ rat ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า หนูกำลังกินอาหาร
2. _____ is on the tree.
a. Cats b. an bat c. birds d. An owl
เฉลยคือ d. An owl
สังเกตจาก คำกริยาคือ is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, c จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามพหูพจน์
ส่วนตัวเลือก b. ผิด เพราะ bat ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า นกฮูกตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้
3. Two birds _____ yellow and blue.
a. Are a b. are c. am d. is
เฉลยคือ b. are
สังเกตจาก ประธาน birds(นกหลายตัว) เป็นพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า นก 2 ตัวเป็นสีเหลืองและสีฟ้า
4. _____ is swimming in the pool.
a. Ducks b. ducks c. An duck d. A duck
เฉลยคือ d. A duck
สังเกตจาก คำกริยาคือ is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, b จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามพหูพจน์
ส่วนตัวเลือก c. ผิด เพราะ duck ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า เป็ดตัวหนึ่งกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ
5. Those are _____.
a. fly b. flyes c. a fly d. flies
เฉลยคือ d. flies
สังเกตจาก คำกริยาคือ are ที่ใช้กับประธานพหูพจน์
ดังนั้น ตัวเลือก a, c จึงไม่ถูก เพราะเป็นคำนามเอกพจน์
รูปพหูพจน์ของ fly คือ flies
ประโยคนี้แปลว่า นั้นแมลงวันหลายตัว
fly (n) = แมลงวัน
fly(v) = บิน
6. Those are _____.
a. toys b. toies c. a toy d. toyes
เฉลยคือ a. toys
สังเกตจาก คำกริยาคือ are ที่ใช้กับประธานพหูพจน์
รูปพหูพจน์ของ toy คือ toys
ประโยคนี้แปลว่า นั้นของเล่นหลายชิ้น
7. A: What is that?
B: It’s _____.
a. planes b. planies c. plans d. a plane
เฉลยคือ d. a plane
สังเกตจาก It’s ย่อยมาจาก It is ใช้กับคำนามเอกพจน์
รูปพหูพจน์ของ plane คือ planes
ประโยคนี้แปลว่า
A: นั่นอะไร?
B: มันเป็นเครื่องบิน
8. Is that ______ ? Yes, it is.
a. a watch b. watchs c. a watch d. watches
เฉลยคือ a. a watch
สังเกตจาก Is ใช้กับคำนามเอกพจน์
รูปพหูพจน์ของ watch คือ watches
watch (n) = นาฬิกาข้อมือ
watch (v) = เฝ้าดู
ประโยคนี้แปลว่า นั้นนาฬิกาข้อมือใช่ไหม? ใช่
9. She has _____ and _____.
a. a salt, a butter b. sugar, a salt
c. salt, butter d. tea, a water
เฉลยคือ c. salt, butter
salt = เกลือ butter = เนยแข็ง
sugar = น้ำตาล tea = น้ำชา
water = น้ำ
เป็นคำนามเอกพจน์ชนิดที่นับไม่ได้
ดังนั้น ไม่ต้องใช้ a, an นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีเกลือกับเนยแข็ง
10. _____ are in the field.
a. Cows b. Rats c. Bats d. An owl
เฉลยคือ a. Cows (วัวตัวเมียหลายตัว)
สังเกตจากคำว่า are เป็นใช้กับคำนามพหูพจน์
ดังนั้น ตัวเลือกข้อ d. An owl ไม่ถูกต้องเ
พราะเป็นคำนามเอกพจน์
ตัวเลือกข้อ b. c. แม้จะเป็นคำนามพหูพจน์ไม่ถูก
เพราะไม่เข้ากับความหมายของประโยคคือ
วัวตัวเมียหลายตัวอยู่ในทุ่งหญ้า
11. She has _____.
a. an apples b. dishes c. a tea d. a mangoes
เฉลยคือ b. dishes
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีจานหลายใบ
ตัวเลือกอื่นผิด เพราะ
ตัวเลือก a. an ใช้นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ที่ขึ้นด้วยสระ
แต่ apples เป็นรูปพหูพจน์
ตัวเลือก c. tea เป็นคำนามนับไม่ได้ จึงไม่ต้องใช้ a นำหน้า
ตัวเลือก d. a เป็นคำนามนับเอกพจน์ที่ขึ้นตัวด้วยสระ
แต่ mangoes เป็นรูปพหูพจน์
รูปพหูพจน์ของ apple คือ apples (แอปเปิ้ล)
รูปพหูพจน์ของ dish คือ dishes (จาน)
รูปพหูพจน์ของ mango คือ mangoes (มะม่วง)
12. Suda and Mana have______.
a. brushes b. an brush
c. brushs d. a brushes
เฉลยคือ a. brushes เป็นรูปพหูพจน์ของ brush(แปรง)
ตัวเลือกข้อ b ผิดเพราะ brush เป็นคำนามเอกพจน์
ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะต้องใช้ a นำหน้า
ตัวเลือกข้อ d. ผิดเพราะ a ใช้นำหน้าคำนามนับได้
เอกพจน์ที่ขึ้นด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า สุดาและมานะมีแปลงหลายอัน
13. A: What are those?
B: ____________
a. It is a key b. They are keyes
c. They are keys d. It are keys
เฉลยข้อ c. They are keys
เพราะ What are those? แปลว่า พวกนั้นคืออะไร
เป็นประโยคคำถามมีความหมายแบบพหูพจน์
ดังนั้นคำตอบที่ถูกที่สุดคือ They are keys
พวกมันเป็นกุญแจ
รูปพหูพจน์ของ key คือ keys (กุญแจ)
ประโยคนี้แปลว่า A: นั้นคืออะไร?
B: พวกมันเป็นกุญแจ
14. There is not ______ in my classroom.
a. mopes b. Mopies c. a mop d. mop
เฉลยข้อ c. a mop (ไม้ถูพื้น)
สังเกตจาก There is = มี ใช้เป็นประธานซึ่งต้องตาม
ด้วยคำนามเอกพจน์และ mop เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะจึงต้องใช้ a นำหน้า
ประโยคนี้แปลว่า ไม่มีไม้ถูพื้นอยู่ในห้องเรียน
15. She has a _____ and two _____
a. a dog, cats b. dog, cats
c. dogs, cats d. dog, caties
เฉลยข้อ b. dog, cats
ช่องที่ 1 สังเกตจาก a นำหน้าคำนามที่ตามมา
ต้องเป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ช่องที่ 2 สังเกตจาก two (สอง) ให้ทราบว่าคำนาม
ที่ตามมาต้องเป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีสุนัข 1 ตัวและแมว 2 ตัว
16. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. soup = น้ำแกง b. sugar = น้ำตาล
c. salt = เกลือ d. pepper = พริกไทย
เฉลยข้อ a เพราะ soup เป็นของเหลวและเป็นอาหาร
ตัวเลือกอื่นเป็นเครื่องปรุง
เพิ่มเติม ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ เป็นคำนามนับไม่ได้ทั้งหมด
17. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. bat = ค้างคาว b. cat = แมว
c. rabbit = กระต่าย d. dog = สุนัข
เฉลยข้อ a เพราะเป็นสัตว์ที่มีปีกและบินได้
ตัวเลือกอื่นเป็นสัตว์ 4 ขา
18. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. fish = ปลา b. bird = นก
c. hen = แม่ไก่ d. duck = เป็ด
เฉลยข้อ a เพราะเป็นสัตว์ที่อาศัยในน้ำ
19. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. blue = สีฟ้า
b. black = สีดำ
c. brown = สีน้ำตาล
d. ball = ลูกบอล
เฉลยข้อ d
20. จงเลือกคำศัพท์ที่ไม่เข้าพวก
a. two = สอง
b. one = หนึ่ง
c. three = สาม
d. fourth = ลำดับที่ 4
เฉลยข้อ d เป็นตัวเลขใช้แสดงลำดับใช้ วันที่, ชั้นของตึก
ตัวเลือกอื่นเป็นตัวเลขแสดงปริมาตร
* * * * * * * *
ภาษาอังกฤษ-เฉลยแบบฝึกหัด2
การใช้ is, am, are
is, am, are เป็นกริยาช่วยในกลุ่มที่เรียกว่า Verb to be.
ที่ใช้กับประโยค Present Simple Tense โดยที่
** is ใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์
** am ใช้กับประธานที่เป็น I เท่านั้น
** are ใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์
แบบฝึกหัด
จงเติม is, am, are ลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. That tiger ___ not sleeping under the three.
เฉลยคือ is
เพราะประธานคือ tiger เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
รูปพหูพจน์คือ tigers
ประโยคนี้แปลว่า เสือไม่ได้กำลังนอนอยู่ที่ใต้ต้นไม้
2. A: ___ that a horse?
B: No, it ____ not. It ____ a zebra.
เฉลยคือ Is, is, is
เพราะ ช่องที่1 ดูจาก that ใช้เป็นประธานเอกพจน์
และเป็นประโยคคำถามแบบที่ใช้ Verb to be ขึ้นต้นประโยค
ดังนั้น ต้องใช้ Is ที่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่
ช่องที่2, 3 ดูจากประธาน It เป็นคำสรรพนาม
ที่ใช้แทน horse ที่เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ประโยคนี้แปลว่า
A: นั้นม้าใช่ไหม?
B: ไม่, มันไม่ใช่(ม้า) มันเป็นม้าลาย
3. A: ____ those snakes?
B: Yes. They_____.
เฉลยคือ Are, are
เพราะ ช่องที่1 ดูจาก snakes เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
และเป็นประโยคคำถามแบบที่ใช้ Verb to be ขึ้นต้นประโยค
ดังนั้น ต้องใช้ Are ที่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่
ช่องที่2 ดูจากประธาน They เป็นคำสรรพนามที่
ใช้แทน snakes ที่เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า
A: นั้นงู(หลายตัว)ใช่ไหม?
B: ใช่, พวกมันเป็นงู
4. There ____ a picture of an elephant on the wall.
เฉลยคือ is
สังเกตจากคำว่า picture เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ประโยคนี้แปลว่า มีรูปของช้างรูปหนึ่งอยู่ที่ฝาพนัง
5. Four bicycles ____ in my house.
เฉลยคือ are
สังเกตจากคำว่า bicycles เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า จักรยาน 4 คันในบ้านของฉัน
6. A postman ____ in the post office.
เฉลยคือ is
สังเกตจากคำว่า postman เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า บุรุษไปรษณีย์อยู่ที่ที่ทำการไปรษณีย์
7. They ____ not famers.
เฉลยคือ are
สังเกตจากคำว่า They เป็นคำสรรพนามแทนคำนามพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขาไม่ใช่ชาวนา
8. We ____ students but they ____ not students.
เฉลยคือ are, are
สังเกตจากคำว่า We, they เป็นคำสรรพนามแทนคำนามพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า พวกเราเป็นนักเรียนแต่พวกเขาไม่ใช่นักเรียน
9. ___ there ten roses in the vases?
เฉลยคือ Are
สังเกตจากคำว่า roses(กุหลาบ) เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
และเป็นประโยคคำถามแบบที่ใช้ Verb to be ขึ้นต้นประโยค
ดังนั้น ต้องใช้ Are ที่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่
ประโยคนี้แปลว่า มีกุหลาบ 10 ดอกอยู่ในแจกันใช่ไหม?
10. They ____ not merchants.
สังเกตจากคำว่า They เป็นคำสรรพนามแทนคำนามพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขาไม่ใช่พ่อค้า
ผมได้ทำเว็บไซด์แฝดน้อง http://kruteeworld.siamvip.com/
มีเนื้อหาและใบงานให้ดาวน์โหลดกันฟรี
เชิญทุกท่านไปเยี่ยมชมกันได้ครับ
* * * * * *
is, am, are เป็นกริยาช่วยในกลุ่มที่เรียกว่า Verb to be.
ที่ใช้กับประโยค Present Simple Tense โดยที่
** is ใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์
** am ใช้กับประธานที่เป็น I เท่านั้น
** are ใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์
แบบฝึกหัด
จงเติม is, am, are ลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. That tiger ___ not sleeping under the three.
เฉลยคือ is
เพราะประธานคือ tiger เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
รูปพหูพจน์คือ tigers
ประโยคนี้แปลว่า เสือไม่ได้กำลังนอนอยู่ที่ใต้ต้นไม้
2. A: ___ that a horse?
B: No, it ____ not. It ____ a zebra.
เฉลยคือ Is, is, is
เพราะ ช่องที่1 ดูจาก that ใช้เป็นประธานเอกพจน์
และเป็นประโยคคำถามแบบที่ใช้ Verb to be ขึ้นต้นประโยค
ดังนั้น ต้องใช้ Is ที่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่
ช่องที่2, 3 ดูจากประธาน It เป็นคำสรรพนาม
ที่ใช้แทน horse ที่เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ประโยคนี้แปลว่า
A: นั้นม้าใช่ไหม?
B: ไม่, มันไม่ใช่(ม้า) มันเป็นม้าลาย
3. A: ____ those snakes?
B: Yes. They_____.
เฉลยคือ Are, are
เพราะ ช่องที่1 ดูจาก snakes เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
และเป็นประโยคคำถามแบบที่ใช้ Verb to be ขึ้นต้นประโยค
ดังนั้น ต้องใช้ Are ที่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่
ช่องที่2 ดูจากประธาน They เป็นคำสรรพนามที่
ใช้แทน snakes ที่เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า
A: นั้นงู(หลายตัว)ใช่ไหม?
B: ใช่, พวกมันเป็นงู
4. There ____ a picture of an elephant on the wall.
เฉลยคือ is
สังเกตจากคำว่า picture เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
ประโยคนี้แปลว่า มีรูปของช้างรูปหนึ่งอยู่ที่ฝาพนัง
5. Four bicycles ____ in my house.
เฉลยคือ are
สังเกตจากคำว่า bicycles เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า จักรยาน 4 คันในบ้านของฉัน
6. A postman ____ in the post office.
เฉลยคือ is
สังเกตจากคำว่า postman เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า บุรุษไปรษณีย์อยู่ที่ที่ทำการไปรษณีย์
7. They ____ not famers.
เฉลยคือ are
สังเกตจากคำว่า They เป็นคำสรรพนามแทนคำนามพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขาไม่ใช่ชาวนา
8. We ____ students but they ____ not students.
เฉลยคือ are, are
สังเกตจากคำว่า We, they เป็นคำสรรพนามแทนคำนามพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า พวกเราเป็นนักเรียนแต่พวกเขาไม่ใช่นักเรียน
9. ___ there ten roses in the vases?
เฉลยคือ Are
สังเกตจากคำว่า roses(กุหลาบ) เป็นคำนามนับได้พหูพจน์
และเป็นประโยคคำถามแบบที่ใช้ Verb to be ขึ้นต้นประโยค
ดังนั้น ต้องใช้ Are ที่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่
ประโยคนี้แปลว่า มีกุหลาบ 10 ดอกอยู่ในแจกันใช่ไหม?
10. They ____ not merchants.
สังเกตจากคำว่า They เป็นคำสรรพนามแทนคำนามพหูพจน์
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขาไม่ใช่พ่อค้า
ผมได้ทำเว็บไซด์แฝดน้อง http://kruteeworld.siamvip.com/
มีเนื้อหาและใบงานให้ดาวน์โหลดกันฟรี
เชิญทุกท่านไปเยี่ยมชมกันได้ครับ
* * * * * *
ภาษาอังกฤษ-เฉลยแบบฝึกหัด1
การใช้ a และ an (โดยสังเขป)
a ใช้นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
เช่น a man = ผู้ชายคนหนึ่ง
an ใช้นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ
เช่น an ox = วัวตัวผู้
ข้อระวัง
An ugly man = ผู้ชายที่น่ารังเกียจ
ทั้งแม้ว่า man เป็นนำนามที่นับได้เอกพจน์ที่ขึ้นตั้งด้วยพยัญชนะ
แต่เมื่อมีคำว่า ugly ที่มีสระนำหน้า ก็ต้องใช้ an แทน a
A big ox = วัวเพศผู้ตัวใหญ่
ทั้งแม้ว่า ox เป็นนำนามที่นับได้เอกพจน์ที่ขึ้นตั้งด้วยสระ
แต่เมื่อมีคำว่า big ที่มีพยัญชนะนำหน้า ก็ต้องใช้ a แทน an
คำเหล่านี้ใช้ a นำหน้า
a university = มหาวิทยาลัย
a union = สหภาพ
a european = ชาวยุโรป
a one-year project = โครงการ 1 ปี
คำเหล่านี้ใช้ an นำหน้า
an hour = ชั่วโมง
an heir = ทายาท
an honor, honour = เกียรติยศ
********
แบบฝึกหัด
จงเติม a หรือ an ลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. We have ___ big house.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า house (บ้าน) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และ big ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า พวกเรามีบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง
2. I have ___ nose.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า nose (จมูก) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า ฉันมีจมูก(หนึ่งอัน)
3. She has _____ orange.
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า orange (ส้ม) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีผลหนึ่งผล
4. They have _____ umbrella.
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า umbrella(ร่ม) เป็นรูปคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขามีร่มหนึ่งคัน
5. Tom has ____ brother and ___ sister.
เฉลยคือ a, a
สังเกตจากคำว่า brother(พี่ชาย) เป็นรูปเอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
และคำว่า sister(น้องสาว) เป็นรูปเอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า ทอมมีพี่ชายหนึ่งคนและน้องสาวหนึ่งคน
6. Suwat is ____ fat boy.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า boy (เด็กผู้ชาย) เป็นคำนามรูปเอกพจน์
และคำว่า fat(อ้วน) ขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า สุวัฒน์เป็นเด็กอ้วน
7. Pat is ___ thin girl.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า girl (เด็กผู้หญิง) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และคำว่า thin(ผอม) ขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า แพ็ตเป็นเด็กที่ผอม
8. Has she ___ aunt?
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า aunt (ป้า) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีป้าหรือไม่?
9. Have they ____ uncle?
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า uncle (ลุง) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขามีลุงหรือไม่?
10. There is ____ animal under my desk.
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า animal (สัตว์) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า มีสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะของฉัน
* * * * * * * * *
a ใช้นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
เช่น a man = ผู้ชายคนหนึ่ง
an ใช้นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ
เช่น an ox = วัวตัวผู้
ข้อระวัง
An ugly man = ผู้ชายที่น่ารังเกียจ
ทั้งแม้ว่า man เป็นนำนามที่นับได้เอกพจน์ที่ขึ้นตั้งด้วยพยัญชนะ
แต่เมื่อมีคำว่า ugly ที่มีสระนำหน้า ก็ต้องใช้ an แทน a
A big ox = วัวเพศผู้ตัวใหญ่
ทั้งแม้ว่า ox เป็นนำนามที่นับได้เอกพจน์ที่ขึ้นตั้งด้วยสระ
แต่เมื่อมีคำว่า big ที่มีพยัญชนะนำหน้า ก็ต้องใช้ a แทน an
คำเหล่านี้ใช้ a นำหน้า
a university = มหาวิทยาลัย
a union = สหภาพ
a european = ชาวยุโรป
a one-year project = โครงการ 1 ปี
คำเหล่านี้ใช้ an นำหน้า
an hour = ชั่วโมง
an heir = ทายาท
an honor, honour = เกียรติยศ
********
แบบฝึกหัด
จงเติม a หรือ an ลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. We have ___ big house.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า house (บ้าน) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และ big ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า พวกเรามีบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง
2. I have ___ nose.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า nose (จมูก) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า ฉันมีจมูก(หนึ่งอัน)
3. She has _____ orange.
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า orange (ส้ม) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีผลหนึ่งผล
4. They have _____ umbrella.
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า umbrella(ร่ม) เป็นรูปคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขามีร่มหนึ่งคัน
5. Tom has ____ brother and ___ sister.
เฉลยคือ a, a
สังเกตจากคำว่า brother(พี่ชาย) เป็นรูปเอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
และคำว่า sister(น้องสาว) เป็นรูปเอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า ทอมมีพี่ชายหนึ่งคนและน้องสาวหนึ่งคน
6. Suwat is ____ fat boy.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า boy (เด็กผู้ชาย) เป็นคำนามรูปเอกพจน์
และคำว่า fat(อ้วน) ขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า สุวัฒน์เป็นเด็กอ้วน
7. Pat is ___ thin girl.
เฉลยคือ a
สังเกตจากคำว่า girl (เด็กผู้หญิง) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และคำว่า thin(ผอม) ขึ้นต้นคำด้วยพยัญชนะ
ประโยคนี้แปลว่า แพ็ตเป็นเด็กที่ผอม
8. Has she ___ aunt?
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า aunt (ป้า) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีป้าหรือไม่?
9. Have they ____ uncle?
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า uncle (ลุง) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
แต่ขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขามีลุงหรือไม่?
10. There is ____ animal under my desk.
เฉลยคือ an
สังเกตจากคำว่า animal (สัตว์) เป็นคำนามนับได้เอกพจน์
และขึ้นต้นคำด้วยสระ
ประโยคนี้แปลว่า มีสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะของฉัน
* * * * * * * * *
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ภาษาอังกฤษ: ประโยคปฏิเสธ4(T)
และแล้วพวกเราก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วนะครับ
ประโยคปฏิเสธ ตอนที 4
ประโยคมีคำกริยาเป็นช่องที่2
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้อง
ของประโยคที่กำหนดให้
1. I worked late last night.
1) I did not work late last night.
2) I don' t work late last night.
3) I does not work late last night.
เฉลยข้อ1,2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันทำงานจนดึกเมื่อคืนก่อน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ worked = ทำงาน
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
work worked worked
คำศัพท์ที่ควรรู้
late = ช้ากว่าปกติ, สาย
last night = เมื่อคืนก่อน
2. He built the house for my dog.
1) He did not build the house for my dog.
2) He doesn't build the house for my dog.
3) He didn't built the house for my dog.
เฉลยข้อ1,3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาสร้างบ้านให้สุนัขของฉัน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ built = สร้าง
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
build built built
3. We helped him to move a heavy box.
1) We did not help him to move a heavy box.
2) We do not him to move a heavy box.
3) We didn't help him to move a heavy box.
เฉลยข้อ1,3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเราช่วยเขาย้ายกล่องที่หนัก
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ helped = สร้าง
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
help helped helped
คำศัพท์อื่น
move = ย้าย
heavy = หนัก
box = กล่อง
4. I saw her father at the park yesterday.
1) I did not see her father at the park yesterday.
2) I does not sed her father at the park yesterday.
3) I didn't saw her father at the park yesterday.
เฉลยข้อ1
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันเห็นพ่อของเธอที่สวนเมื่อวานนี้
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ saw = เห็น
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
see saw seen
5. A dog ran across the road.
1) A dog did not ran across the road.
2) A dog doesn't ran across the road.
3) A dog did not run across the road.
เฉลยข้อ3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า สุนัขวิ่งข้ามถนน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ ran = วิ่ง
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
run ran run
คำศัพท์อื่น
across = ข้าม
road = ถนน
6) My mother gave me the tissue paper.
1) My mother did not gave me the tissue paper.
2) My mother didn't give me the tissue paper.
3) My mother doesn't give me the tissue paper.
เฉลยข้อ3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า แม่ของฉันให้กระดาษชำระกับฉัน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ gave = ให้
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
give gave given
คำศัพท์อื่น
tissue = เนื้อเยื้อ
paper = กระดาษ
tissue paper = กระดาษชำระ
ประโยคปฏิเสธ ตอนที 4
ประโยคมีคำกริยาเป็นช่องที่2
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้อง
ของประโยคที่กำหนดให้
1. I worked late last night.
1) I did not work late last night.
2) I don' t work late last night.
3) I does not work late last night.
เฉลยข้อ1,2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันทำงานจนดึกเมื่อคืนก่อน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ worked = ทำงาน
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
work worked worked
คำศัพท์ที่ควรรู้
late = ช้ากว่าปกติ, สาย
last night = เมื่อคืนก่อน
2. He built the house for my dog.
1) He did not build the house for my dog.
2) He doesn't build the house for my dog.
3) He didn't built the house for my dog.
เฉลยข้อ1,3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาสร้างบ้านให้สุนัขของฉัน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ built = สร้าง
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
build built built
3. We helped him to move a heavy box.
1) We did not help him to move a heavy box.
2) We do not him to move a heavy box.
3) We didn't help him to move a heavy box.
เฉลยข้อ1,3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเราช่วยเขาย้ายกล่องที่หนัก
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ helped = สร้าง
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
help helped helped
คำศัพท์อื่น
move = ย้าย
heavy = หนัก
box = กล่อง
4. I saw her father at the park yesterday.
1) I did not see her father at the park yesterday.
2) I does not sed her father at the park yesterday.
3) I didn't saw her father at the park yesterday.
เฉลยข้อ1
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันเห็นพ่อของเธอที่สวนเมื่อวานนี้
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ saw = เห็น
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
see saw seen
5. A dog ran across the road.
1) A dog did not ran across the road.
2) A dog doesn't ran across the road.
3) A dog did not run across the road.
เฉลยข้อ3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า สุนัขวิ่งข้ามถนน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ ran = วิ่ง
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
run ran run
คำศัพท์อื่น
across = ข้าม
road = ถนน
6) My mother gave me the tissue paper.
1) My mother did not gave me the tissue paper.
2) My mother didn't give me the tissue paper.
3) My mother doesn't give me the tissue paper.
เฉลยข้อ3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า แม่ของฉันให้กระดาษชำระกับฉัน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ gave = ให้
และเป็น Past Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
did not หรือ didn't หลังประธานทุกตัว
และต้องเปลี่ยนกริยาแท้เป็นรูปช่องที่ 1
give gave given
คำศัพท์อื่น
tissue = เนื้อเยื้อ
paper = กระดาษ
tissue paper = กระดาษชำระ
ภาษาอังกฤษ: ประโยคปฏิเสธ3(T)
ประโยคปฏิเสธ
ประโยคบอกเล่าที่มีกริยาแท้ช่องที่ 1
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้อง
ของประโยคที่กำหนดให้
1. He talks to someone in the office.
1) He does not talk to someone in the office.
2) He doesn't talk to someone in the office.
3) He do not talk to someone in the office.
เฉลยข้อ1,2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาคุยกับใครบางคนในห้องทำงาน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้คือ talks = คุย
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
2. I ask some questions to my mother.
1) I don't ask some questions to my mother.
2) I does not ask some questions to my mother.
3) I doesn't ask some questions to my mother.
เฉลยข้อ1,2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันถามแม่ของฉัน 2-3 คำถาม
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ ask = ถาม
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
3. We read many books in a libraly.
1) We do not read many books in a library.
2) We does not read many books in a libraly.
3) We don't read many books in a libraly.
เฉลยข้อ1, 3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
พวกเราอ่านหนังสือหลายเล่มในห้องสมุด
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ read = อ่าน
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
คำศัพท์ที่ควรรู้
many = มากมาย (ในกับคำนามนับได้พหูพจน์)
library = ห้องสมุด
4. Sunee washes her car every weekend.
1) Sunee doesn't wash her car every weekend.
2) Sunee don't wash her car every weekend.
3) Sunee does not washes her car every weekend.
เฉลยข้อ1
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
สุนีล้างรถของเธอทุกๆวันสุดสัปดาห์
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ washes = ล้าง
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
คำศัพท์ที่ควรรู้
every = ทุกๆ
weekend = วันสุดสัปดาห์
5. He and I sing many songs together.
1) He and I do not sing many songs together.
2) He and I don't sing many songs together.
3) He and I did not sing many songs together.
เฉลยข้อ1, 2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
เขาและฉันร้องเพลงหลายเพลงด้วยกัน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ sing = ร้องเพลง
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
คำศัพท์ที่ควรรู้
sing = ร้องเพลง, ขับร้อง
song = เพลง
<><><><><><><><><><><><><><><><>
<> เหนื่อยนักก็พักก่อนเพราะยังเหลืออีกภาค<>
<><><><><><><><><><><><><><><><>
ประโยคบอกเล่าที่มีกริยาแท้ช่องที่ 1
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้อง
ของประโยคที่กำหนดให้
1. He talks to someone in the office.
1) He does not talk to someone in the office.
2) He doesn't talk to someone in the office.
3) He do not talk to someone in the office.
เฉลยข้อ1,2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาคุยกับใครบางคนในห้องทำงาน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้คือ talks = คุย
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
2. I ask some questions to my mother.
1) I don't ask some questions to my mother.
2) I does not ask some questions to my mother.
3) I doesn't ask some questions to my mother.
เฉลยข้อ1,2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันถามแม่ของฉัน 2-3 คำถาม
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ ask = ถาม
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
3. We read many books in a libraly.
1) We do not read many books in a library.
2) We does not read many books in a libraly.
3) We don't read many books in a libraly.
เฉลยข้อ1, 3
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
พวกเราอ่านหนังสือหลายเล่มในห้องสมุด
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ read = อ่าน
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
คำศัพท์ที่ควรรู้
many = มากมาย (ในกับคำนามนับได้พหูพจน์)
library = ห้องสมุด
4. Sunee washes her car every weekend.
1) Sunee doesn't wash her car every weekend.
2) Sunee don't wash her car every weekend.
3) Sunee does not washes her car every weekend.
เฉลยข้อ1
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
สุนีล้างรถของเธอทุกๆวันสุดสัปดาห์
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ washes = ล้าง
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
คำศัพท์ที่ควรรู้
every = ทุกๆ
weekend = วันสุดสัปดาห์
5. He and I sing many songs together.
1) He and I do not sing many songs together.
2) He and I don't sing many songs together.
3) He and I did not sing many songs together.
เฉลยข้อ1, 2
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
เขาและฉันร้องเพลงหลายเพลงด้วยกัน
เป็นประโยคที่มีแต่กริยาแท้ คือ sing = ร้องเพลง
และเป็น Present Simple tense
ดังนั้น จะเปลี่ยนประโยคปฏิเสธโดยการเติม
does not หรือ doesn't หลังประธานเอกพจน์
do not หรือ don't หลังประธานพหูพจน์
และกริยาแท้ที่ตามมาไม่ต้องเติม -s, -es อีก
คำศัพท์ที่ควรรู้
sing = ร้องเพลง, ขับร้อง
song = เพลง
<><><><><><><><><><><><><><><><>
<> เหนื่อยนักก็พักก่อนเพราะยังเหลืออีกภาค<>
<><><><><><><><><><><><><><><><>
ภาษาอังกฤษ: ประโยตปฏิเสธ2(T)
ประโยคปฏิเสธ ตอนที่2
ประโยคบอกเล่าแบบที่มีคำกริยาช่วยในประโยค
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้องของประโยคที่กำหนดให้
1. I will go to school by bus.
1) I will not go to school by bus.
2) I won't go to school by bus.
3) I not will go to school by bus.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันจะไปโรงเรียนโดยรถประจำทาง
มีคำกริยาช่วย คือ will = จะ
มีรูปปฏิเสธคือ will not หรือ won't
2. You should drink a cup of coffee.
1) You should not drink a cup of coffee.
2) You shouldn't drink a cup of coffee.
3) You should not drank a cup of coffee.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า คุณควรดื่มกาแฟสัก 1 ถ้วย
มีคำกริยาช่วย คือ should = ควร
มีรูปปฏิเสธคือ should not หรือ shouldn't
เพิ่มเติม
คำกริยาแท้ที่ตามหลังคำกริยาช่วยต้องเป็น
กริยาช่องที่ 1(v1) เท่านั้น
drive drove driven = ขับ, ขับเคลื่อน
3. He can speak English and chinese.
1) He not speak English and chinese.
2) He cannot speak English and chinese.
3) He can't speak English and chinese.
เฉลยข้อ2,3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
เราสามารถพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนได้
มีคำกริยาช่วย คือ can = สามารถ
มีรูปปฏิเสธคือ cannot หรือ can't
4. Tomorrow we have to get up early.
1) Tomorrow we have not to get up early.
2) Tomorrow we haven't to get up early.
3) Tomorrow we has not to get up early.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้า
มีคำกริยาช่วย คือ have to = ต้อง
มีรูปปฏิเสธคือ have not to หรือ haven't to (ไม่ต้อง)
เพิ่มเติม
ประธานเอกพจน์ ใช้ ้has to
ประธานพหูพจน์ ใช้ ้have to
5. He must go to see a doctor.
1) He must not go to see a doctor.
2) He mustn't go to see a doctor.
3) He must not went to see a doctor.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาต้องไปหาหมอ
มีคำกริยาช่วย คือ must = ต้อง
มีรูปปฏิเสธคือ must not หรือ mustn't (ต้องไม่)
เพิ่มเติม
go went gone = ไป
**** ย้งมต้องภาค 3 นะครับ ****
ประโยคบอกเล่าแบบที่มีคำกริยาช่วยในประโยค
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้องของประโยคที่กำหนดให้
1. I will go to school by bus.
1) I will not go to school by bus.
2) I won't go to school by bus.
3) I not will go to school by bus.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ฉันจะไปโรงเรียนโดยรถประจำทาง
มีคำกริยาช่วย คือ will = จะ
มีรูปปฏิเสธคือ will not หรือ won't
2. You should drink a cup of coffee.
1) You should not drink a cup of coffee.
2) You shouldn't drink a cup of coffee.
3) You should not drank a cup of coffee.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า คุณควรดื่มกาแฟสัก 1 ถ้วย
มีคำกริยาช่วย คือ should = ควร
มีรูปปฏิเสธคือ should not หรือ shouldn't
เพิ่มเติม
คำกริยาแท้ที่ตามหลังคำกริยาช่วยต้องเป็น
กริยาช่องที่ 1(v1) เท่านั้น
drive drove driven = ขับ, ขับเคลื่อน
3. He can speak English and chinese.
1) He not speak English and chinese.
2) He cannot speak English and chinese.
3) He can't speak English and chinese.
เฉลยข้อ2,3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า
เราสามารถพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนได้
มีคำกริยาช่วย คือ can = สามารถ
มีรูปปฏิเสธคือ cannot หรือ can't
4. Tomorrow we have to get up early.
1) Tomorrow we have not to get up early.
2) Tomorrow we haven't to get up early.
3) Tomorrow we has not to get up early.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้า
มีคำกริยาช่วย คือ have to = ต้อง
มีรูปปฏิเสธคือ have not to หรือ haven't to (ไม่ต้อง)
เพิ่มเติม
ประธานเอกพจน์ ใช้ ้has to
ประธานพหูพจน์ ใช้ ้have to
5. He must go to see a doctor.
1) He must not go to see a doctor.
2) He mustn't go to see a doctor.
3) He must not went to see a doctor.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาต้องไปหาหมอ
มีคำกริยาช่วย คือ must = ต้อง
มีรูปปฏิเสธคือ must not หรือ mustn't (ต้องไม่)
เพิ่มเติม
go went gone = ไป
**** ย้งมต้องภาค 3 นะครับ ****
ภาษาอังกฤษ: ประโยคปฏิเสธ1(T)
ประโยคปฏิเสธ ตอนที่1
ประโยคบอกเล่ามี verb to be ในประโยค
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้อง
ของประโยคที่กำหนดให้
1. He is a teaher.
1) She is a teaher.
2) He is not a teacher.
3) He isn't a teaher.
เฉลยข้อ2, 3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาเป็นครู
มีคำกริยา คือ is เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
2. She is a cashier.
1) She is not a cashier.
2) She is not a nurse.
3) She isn't a cashier.
เฉลยข้อ1, 3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เธอเป็นพนักงานเก็บเงิน
มีคำกริยา คือ is เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
3. They are my sons.
1) They are not my sons.
2) They aren't my sons.
3) They is not my sons.
เฉลยข้อ1, 2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเขาเป็นลูกของฉัน
มีคำกริยา คือ are เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ are not หรือ aren't
4. That old man is my uncle.
1) That old man is not my uncle.
2) That old man are not my uncle.
3) That old man aren't my uncle.
เฉลยข้อ1
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ชายแก่คนนั้นเป็นลุงของฉัน
มีคำกริยา คือ is เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
5. We are in the room.
1) We isn't in the room.
2) We aren't in the room.
3) We is in the room.
เฉลยข้อ2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเราอยู่ในห้อง
มีคำกริยา คือ are เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ are not หรือ aren't
6. Yesterday was Thursday.
1) Yesterday was not Thursday.
2) Yesterday wasn't Thursday.
3) Yesterday were Thursday.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เมื่อวานเป็นวันพฤหัสบดี
มีคำกริยา คือ was เป็น Verb to be
และเป็น กริยาช่องที่ 2 ของ is
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
7. They were sleeping.
1) They were not sleeping
2) They was not sleeping
3) They weren't sleeping
เฉลยข้อ1,3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเขากำลังนอนหลับ(เป็นอดีต)
มีคำกริยา คือ were เป็น Verb to be
และเป็น กริยาช่องที่ 2 ของ are
มีรูปปฏิเสธคือ were not หรือ weren't
ประโยคบอกเล่ามี verb to be ในประโยค
คำสั่ง ข้อใดเป็นรูปประโยคปฏิเสธที่ถูกต้อง
ของประโยคที่กำหนดให้
1. He is a teaher.
1) She is a teaher.
2) He is not a teacher.
3) He isn't a teaher.
เฉลยข้อ2, 3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เขาเป็นครู
มีคำกริยา คือ is เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
2. She is a cashier.
1) She is not a cashier.
2) She is not a nurse.
3) She isn't a cashier.
เฉลยข้อ1, 3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เธอเป็นพนักงานเก็บเงิน
มีคำกริยา คือ is เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
3. They are my sons.
1) They are not my sons.
2) They aren't my sons.
3) They is not my sons.
เฉลยข้อ1, 2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเขาเป็นลูกของฉัน
มีคำกริยา คือ are เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ are not หรือ aren't
4. That old man is my uncle.
1) That old man is not my uncle.
2) That old man are not my uncle.
3) That old man aren't my uncle.
เฉลยข้อ1
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า ชายแก่คนนั้นเป็นลุงของฉัน
มีคำกริยา คือ is เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
5. We are in the room.
1) We isn't in the room.
2) We aren't in the room.
3) We is in the room.
เฉลยข้อ2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเราอยู่ในห้อง
มีคำกริยา คือ are เป็น Verb to be
มีรูปปฏิเสธคือ are not หรือ aren't
6. Yesterday was Thursday.
1) Yesterday was not Thursday.
2) Yesterday wasn't Thursday.
3) Yesterday were Thursday.
เฉลยข้อ1,2
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า เมื่อวานเป็นวันพฤหัสบดี
มีคำกริยา คือ was เป็น Verb to be
และเป็น กริยาช่องที่ 2 ของ is
มีรูปปฏิเสธคือ is not หรือ isn't
7. They were sleeping.
1) They were not sleeping
2) They was not sleeping
3) They weren't sleeping
เฉลยข้อ1,3
การเปลี่ยนประโยคให้เป็นปฏิเสธทำได้โดย
การเติม not ไว้หลังคำกริยาช่วยหรือ Verb to be
ประโยคของโจทย์ แปลว่า พวกเขากำลังนอนหลับ(เป็นอดีต)
มีคำกริยา คือ were เป็น Verb to be
และเป็น กริยาช่องที่ 2 ของ are
มีรูปปฏิเสธคือ were not หรือ weren't
ภาษาอังกฤษ: การใช้ has/have(T)
1) I ____ a big house.
1) have 2) has 3) have to 4) has to
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า ฉันมีบ้านหลังใหญ่(อยู่หลังหนึ่ง)
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
have to = ต้อง (ใช้กับประธานเอกพจน์และ I)
has to = ต้อง(ใช้กับประธานเอกพจน์)
หมายเหตุ โดยปกติถ้าไม่มีคำที่ใช้ บอกเวลาใดๆ
ให้ถือว่าประโยคนั้นเป็นปัจจุบัน
2) He ___ three computers in his room.
1) have 2) has 3) have to 4) has to
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า เขามีคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องในห้องของเขา
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
have to = ต้อง (ใช้กับประธานเอกพจน์และ I)
has to = ต้อง(ใช้กับประธานเอกพจน์)
3. She ___ a lot of friends.
1) have 2) has 3) had 4) There is
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีเพื่อนมากมาย
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
had = มี (เป็นกริยาช่อง2 ของ have, has ใช้กับประธานทุกตัว )
There is = มี (ใช้เป็นขึ้นต้นประโยค)
4. Usually we ___ lunch together.
1) have 2) has 3) had 4) There is
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า โดยปกติพวกเราทานมื้อเที่ยงด้วยกัน
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
had = มี ใช้กับประธานทุกตัว
has/have had had
There are = มี (ใช้เป็นขึ้นต้นประโยค)
คำศัทพ์อื่นๆ
together = ร่วมกัน, ด้วยกัน
หมายเหตุ Usually = โดยปกติ
เป็นคำกริยาวิเศษณ์(Adv.)บอกความถี่
สามารถนำมาข้อต้องประโยคได้
5. I ___ dinner at home last week.
1) have 2) has 3) had 4) did
เฉลยข้อที่3
ประโยคนี้แปลว่า ฉันทานข้านกับครอบครัวสัปดาห์ก่อน
คำว่า last week = สัปดาห์ก่อน
ทำรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต
had = มี ใช้กับประธานทุกตัว
has/have had had
did = ทำ ใช้กับประธานทุกตัว
do, does did done
คำศัทพ์อื่นๆ
at home = ที่บ้าน, กับครอบครัว
6. Yesterday John ___ many things to do.
1) walked 2) played 3) had 4) worked
เฉลยข้อที่3
ประโยคนี้แปลว่า เมื่อวานนี้จอห์นมีงานหลายอย่างต้องทำ
คำว่า Yesterday = เมื่อวานนี้
ทำรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต
walked = เดิน ใช้กับประธานทุกตัว
walk walked walked
played = เล่น ใช้กับประธานทุกตัว
play played played
had = มี, ทาน ใช้กับประธานทุกตัว
worked = ทำงาน ใช้กับประธานทุกตัว
work worked worked
คำศัทพ์อื่นๆ
many = มาก
thing = สิ่งต่างๆ
หมายเหตุ
John เป็นชื่อเฉพาะต้องขึ้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ
กริยาช่อง2 โดยทั่วไปจะใช้ได้ประธานทุกตัว ยกเว้น
was = เป็น, อยู่, คือ (ใช้กับประธานเอกพจน์)
were = เป็น, อยู่, คือ (ใช้กับประธานพหูพจน์)
7. My friends _____ 2 cars.
1) have 2) has 3) eat 4) must
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า เพื่อนฉันหลายคนมีรถ 2 คัน
ในข้อนี้ friends เป็นรูปพหูพจน์ของ friend
คำศัทพ์อื่นๆ
many = มาก
thing = สิ่งต่างๆ
eat = กิน, ทาน
must = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
เพิ่มเติม
คำนามที่นับได้เมื่อเป็นพหูพจน์ต้องมี
การเปลี่ยนรูป โดยการ
เติม -s เช่น
chair --> chairs = เก้าอี้
boy --> boys = เด็กผู้ชาย
girl --> girls = เด็กผู้หญิง
book --> books = หนังสือ
เติม -es เช่น
watch --> watches = นาฬิกา
dish --> dishes = จาน
class -->classes = ห้องเรียน
tax --> taxes = ภาษี
potato = potatoes = มันฝรั่ง
เปลี่ยน f, fe เป็น v แล้วเติม -es
wife --> wives = ภรรยา
knife --> knives = มีด
half --> halves = ครึ่ง
thief --> thieves = ขโยม
มีการเปลี่ยนรูปไปเลย
child --> children = เด็กๆ
man --> men = ผู้ชาย
tooth --> teeth = ฟัน
mouse --> mice = หนู
ส่วนคำนามที่นับไม่ได้จะมีแต่รูปเอกพจน์
gold = ทอง water = น้ำ
air = อากาศ oil = น้ำมัน
gas = ก็าซ rice = ข้าว
love = ความรัก anger = ความโกรธ
ผมได้ทำเว็บไซด์แฝดน้อง http://kruteeworld.siamvip.com/
มีเนื้อหาให้อ่านและมีใบงานให้ดาวน์โหลดกันฟรี
เชิญทุกท่านไปเยี่ยมชมกันได้ครับ
1) have 2) has 3) have to 4) has to
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า ฉันมีบ้านหลังใหญ่(อยู่หลังหนึ่ง)
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
have to = ต้อง (ใช้กับประธานเอกพจน์และ I)
has to = ต้อง(ใช้กับประธานเอกพจน์)
หมายเหตุ โดยปกติถ้าไม่มีคำที่ใช้ บอกเวลาใดๆ
ให้ถือว่าประโยคนั้นเป็นปัจจุบัน
2) He ___ three computers in his room.
1) have 2) has 3) have to 4) has to
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า เขามีคอมพิวเตอร์ 3 เครื่องในห้องของเขา
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
have to = ต้อง (ใช้กับประธานเอกพจน์และ I)
has to = ต้อง(ใช้กับประธานเอกพจน์)
3. She ___ a lot of friends.
1) have 2) has 3) had 4) There is
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า เธอมีเพื่อนมากมาย
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
had = มี (เป็นกริยาช่อง2 ของ have, has ใช้กับประธานทุกตัว )
There is = มี (ใช้เป็นขึ้นต้นประโยค)
4. Usually we ___ lunch together.
1) have 2) has 3) had 4) There is
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า โดยปกติพวกเราทานมื้อเที่ยงด้วยกัน
have = มี, กิน (ใช้กับประธานพหูจน์และ I)
has = มี, กิน (ใช้กับประธานเอกพจน์)
had = มี ใช้กับประธานทุกตัว
has/have had had
There are = มี (ใช้เป็นขึ้นต้นประโยค)
คำศัทพ์อื่นๆ
together = ร่วมกัน, ด้วยกัน
หมายเหตุ Usually = โดยปกติ
เป็นคำกริยาวิเศษณ์(Adv.)บอกความถี่
สามารถนำมาข้อต้องประโยคได้
5. I ___ dinner at home last week.
1) have 2) has 3) had 4) did
เฉลยข้อที่3
ประโยคนี้แปลว่า ฉันทานข้านกับครอบครัวสัปดาห์ก่อน
คำว่า last week = สัปดาห์ก่อน
ทำรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต
had = มี ใช้กับประธานทุกตัว
has/have had had
did = ทำ ใช้กับประธานทุกตัว
do, does did done
คำศัทพ์อื่นๆ
at home = ที่บ้าน, กับครอบครัว
6. Yesterday John ___ many things to do.
1) walked 2) played 3) had 4) worked
เฉลยข้อที่3
ประโยคนี้แปลว่า เมื่อวานนี้จอห์นมีงานหลายอย่างต้องทำ
คำว่า Yesterday = เมื่อวานนี้
ทำรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต
walked = เดิน ใช้กับประธานทุกตัว
walk walked walked
played = เล่น ใช้กับประธานทุกตัว
play played played
had = มี, ทาน ใช้กับประธานทุกตัว
worked = ทำงาน ใช้กับประธานทุกตัว
work worked worked
คำศัทพ์อื่นๆ
many = มาก
thing = สิ่งต่างๆ
หมายเหตุ
John เป็นชื่อเฉพาะต้องขึ้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ
กริยาช่อง2 โดยทั่วไปจะใช้ได้ประธานทุกตัว ยกเว้น
was = เป็น, อยู่, คือ (ใช้กับประธานเอกพจน์)
were = เป็น, อยู่, คือ (ใช้กับประธานพหูพจน์)
7. My friends _____ 2 cars.
1) have 2) has 3) eat 4) must
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า เพื่อนฉันหลายคนมีรถ 2 คัน
ในข้อนี้ friends เป็นรูปพหูพจน์ของ friend
คำศัทพ์อื่นๆ
many = มาก
thing = สิ่งต่างๆ
eat = กิน, ทาน
must = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
เพิ่มเติม
คำนามที่นับได้เมื่อเป็นพหูพจน์ต้องมี
การเปลี่ยนรูป โดยการ
เติม -s เช่น
chair --> chairs = เก้าอี้
boy --> boys = เด็กผู้ชาย
girl --> girls = เด็กผู้หญิง
book --> books = หนังสือ
เติม -es เช่น
watch --> watches = นาฬิกา
dish --> dishes = จาน
class -->classes = ห้องเรียน
tax --> taxes = ภาษี
potato = potatoes = มันฝรั่ง
เปลี่ยน f, fe เป็น v แล้วเติม -es
wife --> wives = ภรรยา
knife --> knives = มีด
half --> halves = ครึ่ง
thief --> thieves = ขโยม
มีการเปลี่ยนรูปไปเลย
child --> children = เด็กๆ
man --> men = ผู้ชาย
tooth --> teeth = ฟัน
mouse --> mice = หนู
ส่วนคำนามที่นับไม่ได้จะมีแต่รูปเอกพจน์
gold = ทอง water = น้ำ
air = อากาศ oil = น้ำมัน
gas = ก็าซ rice = ข้าว
love = ความรัก anger = ความโกรธ
ผมได้ทำเว็บไซด์แฝดน้อง http://kruteeworld.siamvip.com/
มีเนื้อหาให้อ่านและมีใบงานให้ดาวน์โหลดกันฟรี
เชิญทุกท่านไปเยี่ยมชมกันได้ครับ
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ภาษาอังกฤษ: หาคำต่าง2(T)
หาคำที่ไม่เข้าพวก
หมายเหตุ
(n) = คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ
(v) = คำกริยา คือ คำที่ใช้แสดงกริยาท่าทาง
(adj)= คำคุณศัพท์ คือ คำที่ใช้อธิบายลักษณะของคำนามเพิ่มเติม
(adv)= คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้อธิบายลักษณะของคำกริยาเพิ่มเติม
1. 1) war 2) fast 3) ugly 4) pretty
เฉลยข้อที่ 1
war (n) = สงคราม fast (adj, adv) = เร็ว, อย่างเร็ว
ugly (adj) = น่าเกียจ pretty (adj) = น่ารัก
หมายเหตุ คำบางคำเป็นได้หลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งในประโยค
2. 1) clear 2) cute 3) strange 4) work
เฉลยข้อที่4
clear(adj) = ชัดเจน, กระจ่าง
cute (adj) = น่ารัก
strange (adj) = แปลก
work (v) = ทำงาน
3. 1) meet 2) thick 3) shy 4) famous
เฉลยข้อที่1
meet (v) = พบปะ, พบเจอ
thick (adj) = หนา
shy (adj) = ขี้อาย, เขิน
famous (adj) = โด่งดัง, เป็นที่รู้จัก
4. 1) short 2) move 3) long 4) wrong
เฉลยข้อที่2short (adj) = สั้น move (v) = ย้าย, เคลื่อนที่
long (adj) = ยาว wrong (adj) = ผิด
5. 1) child 2) jewelry 3) movie 4) difficult
เฉลยข้อที่4
child (n) = เด็ก(คนเดียว)
jewelry (n) = เครื่องประดับ, เพชรพลอย
movie (n) = ภาพยนตร์
difficult (adj) = ยาก
6. 1) money 2) ruler 3) milk 4) dangerous
เฉลยข้อที่4
money (n) = เงิน ruler (n) = ไม้บรรทัด
milk (n) = นม dangerous (adj) = เป็นอันตราย
7. 1) ball 2) week 3) bicycle 4) important
เฉลยข้อที่4
ball (n) = ลูกบอล
week (n) = สัปดาห์
bicycle (n) = รถจักรยาน
important (adj) = สำคัญ
8. 1) envy 2) envious 3) anxious 4) afraid
เฉลยข้อที่ 1
envy (n) = ความอิจฉา envious (adj) = น่าอิจฉา
anxious (adj) = กังวล afraid (adj) = กลัว
9. 1) poor 2) rich 3) hungry 4) supermarket
เฉลยข้อที่4
poor (adj) = จน rich (adj) = รวย
hungry (adj) = หิว supermarket (n) = ห้างสรรพสินค้า
10. 1) sleepy 2) gentle 3) wait 4) large
เฉลยข้อที่3
sleepy (adj) = ง่วงนอน, เซื่องซึม
gentle (adj) = สุภาพ
wait (v) = รอคอย
large (adj) = ใหญ่, กว้าง
:P ;P :P ;P :P ;P
หมายเหตุ
(n) = คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ
(v) = คำกริยา คือ คำที่ใช้แสดงกริยาท่าทาง
(adj)= คำคุณศัพท์ คือ คำที่ใช้อธิบายลักษณะของคำนามเพิ่มเติม
(adv)= คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้อธิบายลักษณะของคำกริยาเพิ่มเติม
1. 1) war 2) fast 3) ugly 4) pretty
เฉลยข้อที่ 1
war (n) = สงคราม fast (adj, adv) = เร็ว, อย่างเร็ว
ugly (adj) = น่าเกียจ pretty (adj) = น่ารัก
หมายเหตุ คำบางคำเป็นได้หลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งในประโยค
2. 1) clear 2) cute 3) strange 4) work
เฉลยข้อที่4
clear(adj) = ชัดเจน, กระจ่าง
cute (adj) = น่ารัก
strange (adj) = แปลก
work (v) = ทำงาน
3. 1) meet 2) thick 3) shy 4) famous
เฉลยข้อที่1
meet (v) = พบปะ, พบเจอ
thick (adj) = หนา
shy (adj) = ขี้อาย, เขิน
famous (adj) = โด่งดัง, เป็นที่รู้จัก
4. 1) short 2) move 3) long 4) wrong
เฉลยข้อที่2short (adj) = สั้น move (v) = ย้าย, เคลื่อนที่
long (adj) = ยาว wrong (adj) = ผิด
5. 1) child 2) jewelry 3) movie 4) difficult
เฉลยข้อที่4
child (n) = เด็ก(คนเดียว)
jewelry (n) = เครื่องประดับ, เพชรพลอย
movie (n) = ภาพยนตร์
difficult (adj) = ยาก
6. 1) money 2) ruler 3) milk 4) dangerous
เฉลยข้อที่4
money (n) = เงิน ruler (n) = ไม้บรรทัด
milk (n) = นม dangerous (adj) = เป็นอันตราย
7. 1) ball 2) week 3) bicycle 4) important
เฉลยข้อที่4
ball (n) = ลูกบอล
week (n) = สัปดาห์
bicycle (n) = รถจักรยาน
important (adj) = สำคัญ
8. 1) envy 2) envious 3) anxious 4) afraid
เฉลยข้อที่ 1
envy (n) = ความอิจฉา envious (adj) = น่าอิจฉา
anxious (adj) = กังวล afraid (adj) = กลัว
9. 1) poor 2) rich 3) hungry 4) supermarket
เฉลยข้อที่4
poor (adj) = จน rich (adj) = รวย
hungry (adj) = หิว supermarket (n) = ห้างสรรพสินค้า
10. 1) sleepy 2) gentle 3) wait 4) large
เฉลยข้อที่3
sleepy (adj) = ง่วงนอน, เซื่องซึม
gentle (adj) = สุภาพ
wait (v) = รอคอย
large (adj) = ใหญ่, กว้าง
:P ;P :P ;P :P ;P
ภาษาอังกฤษ: หาคำต่าง1(T)
โจทย์ที่ผ่านๆเป็นโจทย์เกี่ยวกับหลักไวยการณ์
ตอนนี้ขอเปลี่ยนมาเป็นโจทย์เกี่ยวกับชนิดของคำดูบ้าง
จะได้ทบทวนคำศัพท์ไปด้วย
หาคำที่ไม่เข้าพวก
หมายเหตุ
(n) = คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ
(v) = คำกริยา คือ คำที่ใช้แสดงกริยาท่าทาง
1. 1) swim 2) cut 3) close 4) kitchen
เฉลยข้อที่4
swim (v) = ว่ายน้ำ cut (v) = ตัด
close (v) = ปิด kitchen (n) = ห้องครัว
2. 1) save 2) hour 3) day 4) time
เฉลยข้อที่1
save (v) = ประหยัด, ช่วยชีวิต
hour (n) = ชั่วโมง
day (n) = วัน
time (n) = เวลา
3. 1) start 2) begin 3) today 4) smile
เฉลยข้อที่ 3
start (v) = เริ่มต้น begin (v) = เริ่มต้น
today (n) = วันนี้ smile (v) = ยิ้ม
4. 1) fly 2) wash 3) run 4) student
เฉลยข้อที่4
fly(v) = บิน wash(v) = ล้าง
run(v) = วิ่ง student(n) = นักเรียน
5. 1) tiger 2) texi-driver 3) manager 4) police
เฉลยข้อที่1
tiger(n) = เสือ
texi-driver(n) = คนขันรถเท็กซี่
manager(n) = ผู้จัดการ
police(n) = ตำรวจ
6. 1) daughter 2) aunt 3) sister 4) father
เฉลยข้อที่ 4
daughter(n) = ลูกสาว
aunt(n) = ป้า
sister(n) = น้องสาว
father(n) = พ่อ
7. 1) snow 2)breakfast 3) lunch 4) lunchdinner
เฉลยข้อที่1
snow(n) = หิมะ
breakfast(n) = อาหารเช้า
lunch(n) = อาหารเเที่ยง
dinner(n) = อาหารเย็น
8. 1) moon 2) sun 3) fish 4) cloud
เฉลยข้อที่3
moon (n) = พระจัทร์ sun (n) = พระอาทิตย์
fish (n) = ปลา cloud (n) = เมฆ
9. 1) fry 2) shine 3) air 4) boil
เฉลยข้อที่3
fry (v) = ทอด shine (v) = ส่องแสง
air (n) = อากาศ boil (v) = ต้ม
10. 1) look 2) see 3) watch 4) ride
เฉลยข้อที่ 4
look (v) = มองดู see (v) = เห็น
watch (v) = เฝ้าดู ride (v) = ขี่
:P :P :P :P :P
ตอนนี้ขอเปลี่ยนมาเป็นโจทย์เกี่ยวกับชนิดของคำดูบ้าง
จะได้ทบทวนคำศัพท์ไปด้วย
หาคำที่ไม่เข้าพวก
หมายเหตุ
(n) = คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ
(v) = คำกริยา คือ คำที่ใช้แสดงกริยาท่าทาง
1. 1) swim 2) cut 3) close 4) kitchen
เฉลยข้อที่4
swim (v) = ว่ายน้ำ cut (v) = ตัด
close (v) = ปิด kitchen (n) = ห้องครัว
2. 1) save 2) hour 3) day 4) time
เฉลยข้อที่1
save (v) = ประหยัด, ช่วยชีวิต
hour (n) = ชั่วโมง
day (n) = วัน
time (n) = เวลา
3. 1) start 2) begin 3) today 4) smile
เฉลยข้อที่ 3
start (v) = เริ่มต้น begin (v) = เริ่มต้น
today (n) = วันนี้ smile (v) = ยิ้ม
4. 1) fly 2) wash 3) run 4) student
เฉลยข้อที่4
fly(v) = บิน wash(v) = ล้าง
run(v) = วิ่ง student(n) = นักเรียน
5. 1) tiger 2) texi-driver 3) manager 4) police
เฉลยข้อที่1
tiger(n) = เสือ
texi-driver(n) = คนขันรถเท็กซี่
manager(n) = ผู้จัดการ
police(n) = ตำรวจ
6. 1) daughter 2) aunt 3) sister 4) father
เฉลยข้อที่ 4
daughter(n) = ลูกสาว
aunt(n) = ป้า
sister(n) = น้องสาว
father(n) = พ่อ
7. 1) snow 2)breakfast 3) lunch 4) lunchdinner
เฉลยข้อที่1
snow(n) = หิมะ
breakfast(n) = อาหารเช้า
lunch(n) = อาหารเเที่ยง
dinner(n) = อาหารเย็น
8. 1) moon 2) sun 3) fish 4) cloud
เฉลยข้อที่3
moon (n) = พระจัทร์ sun (n) = พระอาทิตย์
fish (n) = ปลา cloud (n) = เมฆ
9. 1) fry 2) shine 3) air 4) boil
เฉลยข้อที่3
fry (v) = ทอด shine (v) = ส่องแสง
air (n) = อากาศ boil (v) = ต้ม
10. 1) look 2) see 3) watch 4) ride
เฉลยข้อที่ 4
look (v) = มองดู see (v) = เห็น
watch (v) = เฝ้าดู ride (v) = ขี่
:P :P :P :P :P
ภาษาอังกฤษ: โจทย์ละคน4(T)
1. He ____ reading a book at 9.00 yesterday
1) was 2) were 3) can 4) must
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า เขากำลังอ่านหนังสือตอน 9.00 น. เมื่อวานนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังอ่าน
และจากคำว่า at 9.00 yesterday = 9.00 น.เมื่อวาน
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่กำลังที่เกิดในอดีตที่รู้เวลาที่แน่นอน
ซึ่งต้องใช้ Past Continuous Tense
was / were + Ving (กริยาเติม ing)
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
คำศัพท์อื่นๆ
read = อ่าน
book = สมุด, หนังสือ
can = สามารถ (เป็นกริยาช่วย)
must = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
2. They ___ listening while the teacher was teching them.
1) were 2) was 3) talk 4) work
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขากำลังฟังขณะที่ครูสอนกำลังสอนพวกเขาอยู่
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังฟัง
และจากคำว่า was teaching =กำลังสอน
สังเกตจากคำว่า was เป็นกริยาช่องที่ 2
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่กำลังที่เกิดในอดีตที่รู้เวลาที่แน่นอน
ซึ่งต้องใช้ Past Continuous Tense
was / were + Ving (กริยาเติม ing)
และประธาน คือ They เป็นพหูพจน์
คำศัพท์อื่นๆ
listen = อ่าน
while = สมุด, หนังสือ
teacher = สามารถ (เป็นกริยาช่วย)
tech = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
them = พวกเขา (ใช้เป็นกรรมของประโยค)
talk = พูดคุย
work = ทำงาน, ที่ทำงาน
3. He listened when you were _____ .
1) sleep 2) leave 3) watch 4) talking
เฉลยข้อที่ 4
ประโยคนี้แปลว่า เขาฟังขณะที่คุณกำลังพูด
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังพูด
และจากคำว่า listened = ฟัง (เป็นกริยาช่องที่ 2)
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่
ไม่พร้อมกันในอดีต
เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ก่อนใช้ Subject + was /were + Ving
เหตุการณ์ที่แทรกขึ้นมาใช้ Subject + V2
และประธาน คือ you เป็นพหูพจน์
คำศัพท์อื่นๆ
when = เมื่อ, ตอนที่ you = คุณ
sleep = นอน leave = ออกจาก
talk = พูดคุย
4. ____ is a doctor.
1) He 2) You 3) we 4) he
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า เขาเป็นหมอ
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดประธาน
จากคำกริยา is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
และเป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในปัจจุบัน
จึงต้องเลือกประธานที่เป็นเอกพจน์ด้วย
He = เขา
You = คุณ
We = พวกเรา
คำศัพท์อื่นๆ
doctor = หมอ
เพิ่มเติม
he ใช้ไม่ได้เพราะ
เมื่อขึ้นต้นประโยคอักษรตัวแรกต้องเป็นตัวใหญ่
5. I am talking to ____ .
1) she 2) pen 3) we 4) him
เฉลยข้อที่ 4
ประโยคนี้แปลว่า ฉันกำลังพูดอยู่กับ____ (ใคร)
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดกรรมของประโยค
she = เธอ (ใช้เป็นประธาน)
pen = ปากกา (ความหมายไม่เข้ากับประโยค)
we = พวกเรา ใช้เป็นประธาน)
him = เขา (ใช้เป็นกรรมในประโยคได้)
เพิ่มเติม
คำสรรพนามที่ใช้เป็นกรรมในประโยคได้คือ
me = ฉัน you = คุณ
him = เขา her = เธอ
it = มัน them = พวกเขา, พวกมัน
6. A _____ works in a hospital.
1) nurse 2) student 3) labor 4) farmer
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า นางพยาบาลทำงานในโรงพยาบาล
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดประธานของประโยค
nurse = นางพยาบาล
student = นักเรียน
labor = กรรมกร
farmer = ชาวนา
1) was 2) were 3) can 4) must
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า เขากำลังอ่านหนังสือตอน 9.00 น. เมื่อวานนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังอ่าน
และจากคำว่า at 9.00 yesterday = 9.00 น.เมื่อวาน
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่กำลังที่เกิดในอดีตที่รู้เวลาที่แน่นอน
ซึ่งต้องใช้ Past Continuous Tense
was / were + Ving (กริยาเติม ing)
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
คำศัพท์อื่นๆ
read = อ่าน
book = สมุด, หนังสือ
can = สามารถ (เป็นกริยาช่วย)
must = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
2. They ___ listening while the teacher was teching them.
1) were 2) was 3) talk 4) work
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขากำลังฟังขณะที่ครูสอนกำลังสอนพวกเขาอยู่
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังฟัง
และจากคำว่า was teaching =กำลังสอน
สังเกตจากคำว่า was เป็นกริยาช่องที่ 2
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่กำลังที่เกิดในอดีตที่รู้เวลาที่แน่นอน
ซึ่งต้องใช้ Past Continuous Tense
was / were + Ving (กริยาเติม ing)
และประธาน คือ They เป็นพหูพจน์
คำศัพท์อื่นๆ
listen = อ่าน
while = สมุด, หนังสือ
teacher = สามารถ (เป็นกริยาช่วย)
tech = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
them = พวกเขา (ใช้เป็นกรรมของประโยค)
talk = พูดคุย
work = ทำงาน, ที่ทำงาน
3. He listened when you were _____ .
1) sleep 2) leave 3) watch 4) talking
เฉลยข้อที่ 4
ประโยคนี้แปลว่า เขาฟังขณะที่คุณกำลังพูด
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังพูด
และจากคำว่า listened = ฟัง (เป็นกริยาช่องที่ 2)
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่
ไม่พร้อมกันในอดีต
เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ก่อนใช้ Subject + was /were + Ving
เหตุการณ์ที่แทรกขึ้นมาใช้ Subject + V2
และประธาน คือ you เป็นพหูพจน์
คำศัพท์อื่นๆ
when = เมื่อ, ตอนที่ you = คุณ
sleep = นอน leave = ออกจาก
talk = พูดคุย
4. ____ is a doctor.
1) He 2) You 3) we 4) he
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า เขาเป็นหมอ
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดประธาน
จากคำกริยา is ที่ใช้กับประธานเอกพจน์
และเป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในปัจจุบัน
จึงต้องเลือกประธานที่เป็นเอกพจน์ด้วย
He = เขา
You = คุณ
We = พวกเรา
คำศัพท์อื่นๆ
doctor = หมอ
เพิ่มเติม
he ใช้ไม่ได้เพราะ
เมื่อขึ้นต้นประโยคอักษรตัวแรกต้องเป็นตัวใหญ่
5. I am talking to ____ .
1) she 2) pen 3) we 4) him
เฉลยข้อที่ 4
ประโยคนี้แปลว่า ฉันกำลังพูดอยู่กับ____ (ใคร)
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดกรรมของประโยค
she = เธอ (ใช้เป็นประธาน)
pen = ปากกา (ความหมายไม่เข้ากับประโยค)
we = พวกเรา ใช้เป็นประธาน)
him = เขา (ใช้เป็นกรรมในประโยคได้)
เพิ่มเติม
คำสรรพนามที่ใช้เป็นกรรมในประโยคได้คือ
me = ฉัน you = คุณ
him = เขา her = เธอ
it = มัน them = พวกเขา, พวกมัน
6. A _____ works in a hospital.
1) nurse 2) student 3) labor 4) farmer
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า นางพยาบาลทำงานในโรงพยาบาล
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดประธานของประโยค
nurse = นางพยาบาล
student = นักเรียน
labor = กรรมกร
farmer = ชาวนา
ภาษาอังกฤษ: โจทย์ละคน3(T)
1. He ____ two sons.
1) has 2) have 3) eat 4) has to
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า เขามีลูกชาย 2 คน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า มี
จากความหมาย เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
has = มี (ใช้กับประธานเอกพจน์)
have = มี (ใช้กับประธานพหูพจน์)
eat = กิน
has to = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
2. I _____ noodle yesterday.
1) eat 2) ate 3) eaten 4) has
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า ฉันกินก๋วยเตี๋ยวเมื่อวานนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กิน, ทาน
และจากคำว่า yesterday = เมื่อวานนี้
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ I เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
eat = กิน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
ate = กิน (เป็นกริยาช่องที่ 2)
eaten =กิน (เป็นกริยาช่องที่ 3)
has = มี, กิน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
คำศัพท์อื่นๆ
noodle = ก๋วยเตี๋ยว yesterday = เมื่อวานนี้
3. She ______ to Japan last month.
1) go 2) went 3) see 4) saw
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า เธอไปญี่ปุ่นเมื่อเดือนก่อน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า ไป
และจากคำว่า last month = เมื่อวานนี้
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ She เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
go = ไป (เป็นกริยาช่องที่ 1)
went = ไป (เป็นกริยาช่องที่ 2)
see = เห็น (เป็นกริยาช่องที่ 1)
saw = เห็น (เป็นกริยาช่องที่ 2)
คำศัพท์อื่นๆ
Japan = ประเทศญี่ปุ่น
month = เดือน
4. We _____ here two weeks ago.
1) come 2) came 3) become 4) became
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า พวกเรามาที่นี้แล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า มา
และจากคำว่า two weeks ago = เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ we เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
come = มา (เป็นกริยาช่องที่ 1)
came = มา (เป็นกริยาช่องที่ 2)
become = กลายเป็น (เป็นกริยาช่องที่ 1)
became = กลายเป็น (เป็นกริยาช่องที่ 2)
5. I ______ football when I was young.
1) played 2) study 3) write 4) did
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า ฉันเล่นฟุตบอลตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า เล่น
และจากคำว่า when I was young = ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ I เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
played = เล่น (เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ play)
study = เรียน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
write = เขียน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
did = ทำ (เป็นกริยาช่องที่ 1 ของ do)
6. He ____ born in 1859.
1) were 2) meet 3) was 4) ride
เฉลยข้อที่ 3
ประโยคนี้แปลว่า เขาเกิดในปี 1859
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า เกิด
และจากคำว่า in 1859 = ในปี1859
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
และสำนวนที่จะบอกว่า ใครเกิดเมื่อไหร่
คือ was / were born in (ปีที่เกิด)
คำศัพท์อื่นๆ
born = เกิด
were = เป็น, อยู่, คือ (เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ are)
meet = พบ (เป็นกริยาช่องที่ 1)
was = เป็น, อยู่, คือ (เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ is)
ride = ขี่ (เป็นกริยาช่องที่ 1)
1) has 2) have 3) eat 4) has to
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า เขามีลูกชาย 2 คน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า มี
จากความหมาย เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
has = มี (ใช้กับประธานเอกพจน์)
have = มี (ใช้กับประธานพหูพจน์)
eat = กิน
has to = ต้อง (เป็นกริยาช่วย)
2. I _____ noodle yesterday.
1) eat 2) ate 3) eaten 4) has
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า ฉันกินก๋วยเตี๋ยวเมื่อวานนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กิน, ทาน
และจากคำว่า yesterday = เมื่อวานนี้
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ I เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
eat = กิน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
ate = กิน (เป็นกริยาช่องที่ 2)
eaten =กิน (เป็นกริยาช่องที่ 3)
has = มี, กิน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
คำศัพท์อื่นๆ
noodle = ก๋วยเตี๋ยว yesterday = เมื่อวานนี้
3. She ______ to Japan last month.
1) go 2) went 3) see 4) saw
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า เธอไปญี่ปุ่นเมื่อเดือนก่อน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า ไป
และจากคำว่า last month = เมื่อวานนี้
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ She เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
go = ไป (เป็นกริยาช่องที่ 1)
went = ไป (เป็นกริยาช่องที่ 2)
see = เห็น (เป็นกริยาช่องที่ 1)
saw = เห็น (เป็นกริยาช่องที่ 2)
คำศัพท์อื่นๆ
Japan = ประเทศญี่ปุ่น
month = เดือน
4. We _____ here two weeks ago.
1) come 2) came 3) become 4) became
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า พวกเรามาที่นี้แล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า มา
และจากคำว่า two weeks ago = เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ we เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
come = มา (เป็นกริยาช่องที่ 1)
came = มา (เป็นกริยาช่องที่ 2)
become = กลายเป็น (เป็นกริยาช่องที่ 1)
became = กลายเป็น (เป็นกริยาช่องที่ 2)
5. I ______ football when I was young.
1) played 2) study 3) write 4) did
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า ฉันเล่นฟุตบอลตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า เล่น
และจากคำว่า when I was young = ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ I เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
played = เล่น (เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ play)
study = เรียน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
write = เขียน (เป็นกริยาช่องที่ 1)
did = ทำ (เป็นกริยาช่องที่ 1 ของ do)
6. He ____ born in 1859.
1) were 2) meet 3) was 4) ride
เฉลยข้อที่ 3
ประโยคนี้แปลว่า เขาเกิดในปี 1859
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า เกิด
และจากคำว่า in 1859 = ในปี1859
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดในอดีต
ซึ่งต้องใช้ Past Simple Tense
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 2
และสำนวนที่จะบอกว่า ใครเกิดเมื่อไหร่
คือ was / were born in (ปีที่เกิด)
คำศัพท์อื่นๆ
born = เกิด
were = เป็น, อยู่, คือ (เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ are)
meet = พบ (เป็นกริยาช่องที่ 1)
was = เป็น, อยู่, คือ (เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ is)
ride = ขี่ (เป็นกริยาช่องที่ 1)
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ภาษาอังกฤษ: โจทย์ระคน2(T)
1. They ____ in the bedroom now.
1) is sleeping 2) are sleeping
3) am sleeping
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขากำลังนอนอยู่ในห้องนอนอยู่ตอนนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังนอน
และจากคำว่า now = อยู่ตอนนี้, ขณะนี้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ They เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ are + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
they = พวกเขา sleep = นอน
bed = เตียงนอน bedroom = ห้องนอน
เพิ่มเติม
is sleeping ใช้กับประธานเอกพจน์
am sleeping ใช้กับประธานที่เป็น I (ฉัน) เท่านั้น
2. The white cats ___ running in the garden.
1) is 2) are 3) am
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า แมวสีขาว(หลายตัว)กำลังนอนอยู่ในสวน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังวิ่ง
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ The white cats เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ are + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
white = สีขาว cat = แมว
run = วิ่ง garden = สวน
เพิ่มเติม
cat เป็นรูปเอกพจน์
cats เป็นรูปพหูพจน์
3. He ____ to China next week.
1) is flying 2) is listening
3) are flying 4) are washing
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า เขาจะบินไปที่ประเทศจีนสัปดาห์หน้า
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังบิน
และจากคำว่า next week = สัปดาห์หน้า
เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ is + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
he = เขา fly = บิน
wash = ล้าง China = ประเทศจีน
เพิ่มเติม
ชื่อเฉพาะต้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ เช่น
Thailand = ประเทศไทย
Lao = ประเทศลาว
Somchai = สมชาย
Bangkok = กรุงเทพฯ
Chomthong = จอมทอง
4. ____ are studying together now.
1) he 2) Tim 3) Tim and I 4) I
เฉลยข้อที่ 3
ประโยคนี้แปลว่า ทีมและฉันกำลังเรียนอยู่ด้วยกันตอนนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดประธาน
และจากคำว่า now = ตอนนี้, เดี๋ยวนี้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
แต่คำกริยาที่ตามคือ are studying
ซึ่งต้องใช้กับประธานพหูพจน์ คือ Tim and I
คำศัพท์อื่นๆ
study = เรียน, เล่าเรียน
together = ร่วมกัน, ด้วยกัน
5. The shark is swimming in the sea ____.
1) last week 2) every day
3) next day 4) at the moment
เฉลยข้อที่ 4
ประโยคนี้แปลว่า ฉลามกำลังว่ายน้ำในทะเลอยู่ตอนนี้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
แต่ขาดคำขยายที่เหมาะสม
last week = สัปดาห์ก่อน (ใช้กับอดีต)
every day = ทุกๆวัน (ใช้กับปัจจุบัน)
next day = ในวันถัดไป (ใช้กับอนาคต)
at the moment = อยู่ตอนนี้
คำศัพท์อื่นๆ
shark = ฉลาม swim = ว่ายน้ำ
sea = ทะเล last = ที่ผ่านมา
every = ทุกๆ day = วัน
next = ต่อไป, ถัดไป
moment = เหตุการณ์
6. Listen! The boy ______.
1) is crying 2) are crying
3) sing 4) sings
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า ฟังซิ เด็กกำลังร้องไห้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ The boy เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ is + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
listen = ฟัง cry = ร้องไห้
sing = ร้องเพลง
เพิ่มเติม
ประโยคที่ ตามหลังคำกริยาบางคำเช่น
listen, watch, look จะตามด้วยประโดย
Present Continuous Tense เช่น
Watch! The man is walking near us.
ดูซิ ผู้ชายกำลังเดินมาใกล้พวกเรา
1) is sleeping 2) are sleeping
3) am sleeping
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า พวกเขากำลังนอนอยู่ในห้องนอนอยู่ตอนนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังนอน
และจากคำว่า now = อยู่ตอนนี้, ขณะนี้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ They เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ are + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
they = พวกเขา sleep = นอน
bed = เตียงนอน bedroom = ห้องนอน
เพิ่มเติม
is sleeping ใช้กับประธานเอกพจน์
am sleeping ใช้กับประธานที่เป็น I (ฉัน) เท่านั้น
2. The white cats ___ running in the garden.
1) is 2) are 3) am
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า แมวสีขาว(หลายตัว)กำลังนอนอยู่ในสวน
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังวิ่ง
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ The white cats เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ are + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
white = สีขาว cat = แมว
run = วิ่ง garden = สวน
เพิ่มเติม
cat เป็นรูปเอกพจน์
cats เป็นรูปพหูพจน์
3. He ____ to China next week.
1) is flying 2) is listening
3) are flying 4) are washing
เฉลยข้อที่1
ประโยคนี้แปลว่า เขาจะบินไปที่ประเทศจีนสัปดาห์หน้า
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังบิน
และจากคำว่า next week = สัปดาห์หน้า
เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ He เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ is + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
he = เขา fly = บิน
wash = ล้าง China = ประเทศจีน
เพิ่มเติม
ชื่อเฉพาะต้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ เช่น
Thailand = ประเทศไทย
Lao = ประเทศลาว
Somchai = สมชาย
Bangkok = กรุงเทพฯ
Chomthong = จอมทอง
4. ____ are studying together now.
1) he 2) Tim 3) Tim and I 4) I
เฉลยข้อที่ 3
ประโยคนี้แปลว่า ทีมและฉันกำลังเรียนอยู่ด้วยกันตอนนี้
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดประธาน
และจากคำว่า now = ตอนนี้, เดี๋ยวนี้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
แต่คำกริยาที่ตามคือ are studying
ซึ่งต้องใช้กับประธานพหูพจน์ คือ Tim and I
คำศัพท์อื่นๆ
study = เรียน, เล่าเรียน
together = ร่วมกัน, ด้วยกัน
5. The shark is swimming in the sea ____.
1) last week 2) every day
3) next day 4) at the moment
เฉลยข้อที่ 4
ประโยคนี้แปลว่า ฉลามกำลังว่ายน้ำในทะเลอยู่ตอนนี้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
แต่ขาดคำขยายที่เหมาะสม
last week = สัปดาห์ก่อน (ใช้กับอดีต)
every day = ทุกๆวัน (ใช้กับปัจจุบัน)
next day = ในวันถัดไป (ใช้กับอนาคต)
at the moment = อยู่ตอนนี้
คำศัพท์อื่นๆ
shark = ฉลาม swim = ว่ายน้ำ
sea = ทะเล last = ที่ผ่านมา
every = ทุกๆ day = วัน
next = ต่อไป, ถัดไป
moment = เหตุการณ์
6. Listen! The boy ______.
1) is crying 2) are crying
3) sing 4) sings
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า ฟังซิ เด็กกำลังร้องไห้
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ The boy เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ is + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
listen = ฟัง cry = ร้องไห้
sing = ร้องเพลง
เพิ่มเติม
ประโยคที่ ตามหลังคำกริยาบางคำเช่น
listen, watch, look จะตามด้วยประโดย
Present Continuous Tense เช่น
Watch! The man is walking near us.
ดูซิ ผู้ชายกำลังเดินมาใกล้พวกเรา
ภาษาอังกฤษ: โจยท์ระคน1(T)
1. My mother ____ to the market every morning.
a) go b) goes c) went d) see
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า แม่ของฉันไปตลาดทุกๆเช้า
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า ไป
และจากคำว่า every morning = ทุกๆเช้า
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดเป็นกิจวัตรในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ My mother เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่เติม -s, -es จึงต้องเลือก goes
คำศัพท์อื่นๆ
market = ตลาด go = ไป see = เห็น
2. Our school ____ at 8.30.
a) start b) play c) listen d) work
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า โรงเรียนของพวกเราเริ่ม(เรียน)ตอน 8.30 น
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า เริ่ม
จากความหมายทำให้ทราบว่า
เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดเป็นกิจวัตรในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Our school เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่ไม่เติม -s, -es จึงต้องเลือก start = เริ่มต้น
คำศัพท์อื่นๆ
our = ของพวกเรา school = โรงเรียน
play = เล่น listen = ฟัง
work = ทำงาน, ที่ทำงาน
3. Water ______ at O ํC
1) works 2) is 3) studies 4) freezes
เฉลยข้อที่4
ประโยคนี้แปลว่า น้ำแข็งตัวที่ 0 องศา
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า แข็งตัว
เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Water เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่เติม -s, -es จึงต้องเลือก freezes
คำศัพท์อื่นๆ
water = น้ำ is = เป็น, อยู่, คือ
studies = เรียน (มาจากกริยาช่องที่ 1 คือ study)
freeze = แข็งตัว
4. Manee and Pranee ___ 20 years old.
1) hear 2) is 3) are 4) was
เฉลยข้อที่ 3
ประโยคนี้แปลว่า มานีและปราณีอายุ 20 ปี
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า มีอายุ
สำนวนในการบอกอายุโดยปกติจะใช้
Verb to be(is/am/are) มาช่วย
และเป็นเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Manee and Pranee เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
จึงต้องเลือก are
คำศัพท์อื่นๆ
hear = ได้ยิน is,are, was = เป็น,อยู่, คือ
year = ปี old = แก่
ประโยคเสริม
I am 19 years old. = ฉันอายุ 19 ปี
He is 20 years old. = เขาอายุ 20 ปี
5. Everybody ______ death.
1) fears 2) has 3) have 4) listen
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า ทุกๆคนกลัวความตาย
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กลัว
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดเป็นปกติ
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Everybody เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่เติม -s, -es จึงต้องเลือก fears = กลัว
คำศัพท์อื่นๆ
Everybody = ทุกๆคน death = ความตาย
has, have = มี, ทาน
6. She is ______ television.
1) watch 2) watches
3) watching 4) watched
เฉลยข้อที่3
ประโยคนี้แปลว่า เธอกำลังดูทีวีอยู่
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังดู
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ She เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ is + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
she = เธอ
television = โทรทัศน์, ทีวี
watch = ดู, เฝ้าดู
a) go b) goes c) went d) see
เฉลยข้อที่2
ประโยคนี้แปลว่า แม่ของฉันไปตลาดทุกๆเช้า
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า ไป
และจากคำว่า every morning = ทุกๆเช้า
ทำให้ทราบว่า เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดเป็นกิจวัตรในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ My mother เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่เติม -s, -es จึงต้องเลือก goes
คำศัพท์อื่นๆ
market = ตลาด go = ไป see = เห็น
2. Our school ____ at 8.30.
a) start b) play c) listen d) work
เฉลยข้อที่ 2
ประโยคนี้แปลว่า โรงเรียนของพวกเราเริ่ม(เรียน)ตอน 8.30 น
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า เริ่ม
จากความหมายทำให้ทราบว่า
เป็นเหตุกาณ์ที่เกิดเป็นกิจวัตรในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Our school เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่ไม่เติม -s, -es จึงต้องเลือก start = เริ่มต้น
คำศัพท์อื่นๆ
our = ของพวกเรา school = โรงเรียน
play = เล่น listen = ฟัง
work = ทำงาน, ที่ทำงาน
3. Water ______ at O ํC
1) works 2) is 3) studies 4) freezes
เฉลยข้อที่4
ประโยคนี้แปลว่า น้ำแข็งตัวที่ 0 องศา
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า แข็งตัว
เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Water เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่เติม -s, -es จึงต้องเลือก freezes
คำศัพท์อื่นๆ
water = น้ำ is = เป็น, อยู่, คือ
studies = เรียน (มาจากกริยาช่องที่ 1 คือ study)
freeze = แข็งตัว
4. Manee and Pranee ___ 20 years old.
1) hear 2) is 3) are 4) was
เฉลยข้อที่ 3
ประโยคนี้แปลว่า มานีและปราณีอายุ 20 ปี
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า มีอายุ
สำนวนในการบอกอายุโดยปกติจะใช้
Verb to be(is/am/are) มาช่วย
และเป็นเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Manee and Pranee เป็นพหูพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
จึงต้องเลือก are
คำศัพท์อื่นๆ
hear = ได้ยิน is,are, was = เป็น,อยู่, คือ
year = ปี old = แก่
ประโยคเสริม
I am 19 years old. = ฉันอายุ 19 ปี
He is 20 years old. = เขาอายุ 20 ปี
5. Everybody ______ death.
1) fears 2) has 3) have 4) listen
เฉลยข้อที่ 1
ประโยคนี้แปลว่า ทุกๆคนกลัวความตาย
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กลัว
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดเป็นปกติ
ซึ่งต้องใช้ Present Simple Tense
และประธาน คือ Everybody เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1
ที่เติม -s, -es จึงต้องเลือก fears = กลัว
คำศัพท์อื่นๆ
Everybody = ทุกๆคน death = ความตาย
has, have = มี, ทาน
6. She is ______ television.
1) watch 2) watches
3) watching 4) watched
เฉลยข้อที่3
ประโยคนี้แปลว่า เธอกำลังดูทีวีอยู่
ดังนั้นประโยคนี้จึงขาดคำกริยาว่า กำลังดู
เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในปัจจุบัน
ซึ่งต้องใช้ Present Continuous Tense
และประธาน คือ She เป็นเอกพจน์
ดังนั้นคำกริยาที่ตามมาต้องใช้ is + Ving (กริยาเติม ing)
คำศัพท์อื่นๆ
she = เธอ
television = โทรทัศน์, ทีวี
watch = ดู, เฝ้าดู
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)