ช่วงนี้เป็น ช่วงที่ใครหลายๆคน กำลังถือศีลกินเจ กันอยู่ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทานเจด้วยครับ
และขออนุโมทนา บุญุกุศล ในการละเว้นชีวิตสัตว์ กับทุกคนด้วยครับ
และในโอกาสนี้ผมก็ นำธรรมะคำกลอนดีๆ มาฝาก เป็นข้อคิดเตือนใจด้วยครับ
จากหนังสือบรมธรรม 35 ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
สมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะ หน้า 45
** สิบก้าวของคนดี **
ก้าวที่หนึ่ง แขนขาต้องแกว่งไกว
ก้าวที่สอง ฝึกรักษาใจเป็นแก่นสาร
ก้าวที่สาม ต้องทำใจให้เบิกบาน
ก้าวที่สี่ ปล่อยวางบางเรื่องราว
ก้าวที่ห้า หากจิตตกต้องรู้แก้
ก้าวที่หก อย่าเชือนแชการกุศล
ก้าวที่เจ็ด รู้พุทโธส่องใจตน
ก้าวที่แปด ให้อดทนอย่าวู่วาม
ก้าวที่เก้า สอนคนอื่นให้รู้คิด
ก้าวที่สิบ อย่าหลงผิดทางมิจฉา
ได้เช่นนี้จึงเรียกศิษย์มีครูบา
อนัตตาทุกข์ขังอนิจจัง
******
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ธรรมะคำกลอน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ธรรมะคำกลอน แสดงบทความทั้งหมด
วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันอาสาฬหบูชา 2-8-55
เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาและในวันพรุ่งเป็น
วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญของพวกเราชาวพุทธ
ทั้ง 2 วันติดกัน เป็นโอกาสดีเราจะได้เข้าวัดทำบุญ
และได้และหยุดพักผ่อน อีก 2 วัน ผมขอร่วมบุญด้วย
การนำกลอนธรรมดี จากหนังสือบรมธรรม 35
ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
ของสมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะ
มาให้พวกเราได้อ่านกัน
หน้า 53
สัมมา คือ ความดีงามควรปฏิบัติ
ปธาน คือเพียรมนัสไม่ขัดข้อง
สี่ ข้อธรรมอันเป็นทางเป็นครรลอง
เหตุ อันผ่องผุดผาดสะอาดงาม
แห่ง หนใดใจเพียรชอบประกอบกิจ
ความ ทั้งนั้นย่อมสัมฤทธิ์กิจประสาน
ดี ด้วยความเพียรมั่นเป็นต้นทาง
งาม ด้วยย่างดำเนินไปโดยพากเพียร
ของ อันมีความดีงามเป็นทางทิศ
ชีวิต จึ่งสัมฤทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน
พึง ตั้งมั่นในมานะวิริยะพากเพียร
พิศ ดังนี้จงหมั่นเพียรเรียนรู้ธรรม
เป็น มนุนย์สุดประเสริฐเลิศด้วยเพียร
หลัก ชีวิตไม่แผกเพี้ยนเป็นฉนำ
คุณ ค่าคนอยู่ที่มีมานะประจำ
ธรรม เลิศล้ำจึงบำเพ็ญเห็นแจ้งจริง
สัมมาปธานสี่ คือหลักธรรมสี่ประการอันจะยังให้มนุษย์มีความเพียรโดยชอบ ประกอบด้วย
1. สังวรปธาน คือ ความเพียรระวัง ยับยั้ง ปิดกั้นมิให้บาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นมา
2. ปหานปธาน คือ ความเพียรละขจัด กำจัดบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไป
3. ภาวนาปธาน คือ ความเพียรเจริญ ก่อให้เกิดกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดมีขึ้น
4. อนุรักขนาปธาน คือ ความเพียรรักษา ดูแลให้กุศลธรรมอันบังเอิญขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นดำรงอยู่โดยเจริญงอกงามเติบโตจึงพร้อมด้วยความไพบูลย์
หน้า 46
พรหม เทพมีใจบริสุทธิ์ฉุดช่วยสรรพสัตว์
วิหาร คือดวงมนัสจำรัสสดใส
สี่ สถานเป็นหลักธรรมอันอำไพ
เหตุ นี้ไซร้ใจจึงเป็นที่อยู่แห่งพรหม
แห่ง หนใดที่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่
ความ จงรู้ดูที่ใจใฝ่กุศล
ประเสริฐ สุดด้วยจิตคิดมงคล
บริสุทธิ์ ผลกมลธรรมตั้งกลางใจ
ของ มนุษย์ทุกผู้นามวานควรพิศ
ชีวิต หนอหนึ่งชีวิตจิตผ่องใส
พึง มีพรหมวิหารธรรมประจำใจ
พิศ เห็นไซร้ให้บำเพ็ญเป็นครรลอง
เป็น มนุษย์สุดประเสริฐเลิศเหมือนพรหม
หลัก ธรรมมีในใจตนตนจงผุดผ่อง
คุณ ค่าอยู่โดยรู้ธรรมนำครรลอง
ธรรม ทั้งผองย่อมมีใจเป็นต้นทาง
พรหมวิหารธรรมสี่ คือ หลักธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ที่ประเสริฐสี่ประการ เป็นธรรมประจำใจที่ประเสริฐเลิศล้ำเป็นหลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์ และเป็นหลักธรรมอันพึงมีไว้ประจำใจเพื่อใช้กำกับความประพฤติ ยังให้ชีวิตได้โดยหมดจดงดงาม มีการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นโดยชอบ ประกอบด้วยข้อธรรมสี่ประกอบ ดังนี้
1. เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขมีจิตไมตรี คิดประกอบบำเพ็ญประโยชน์แก่มนุษย์โดยทั่วหน้า
2. กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ มีจิตอารีโอบอ้อม หมายเกื้อกูลช่วยเหลือสรรพชีวิตด้วยการปลดเปลื้อง บำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของสรรพสัตว์ให้หมดสิ้นไป
3. มุทิตา คือ ความยินดีในเมื่อผู้อื่นมีความอยู่ดีเป็นสุข มีจิตใจบันเทิงเบิกบาน แช่มชื่น พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นมีความอยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
4. อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง มีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรม ไม่โอนเอนไปด้วยความชอบชัง รู้สงบวางเฉย โดยพิจารณาเห็นความเป็นไปของผู้อื่นตามหลักแห่งธรรม
เมตตาจิตคิดผู้อื่นมีความสุข
ถ้วนมนุษย์สุขเกษมเปรมหรรษา
กรุณาโดยสงสารคนผู้ทุกชีวา
มีเวทนาอนาทรผู้ร้อนภัย
มุทิตาพลอยยินดีคนมีสุข
เขาไร้ทุกข์เราก็ร่วมสุขผ่องใส
อุเบกขารู้สงบเฉยรู้วางใจ
พิศให้เห็นความเป็นไปตามหลักธรรม
พรหมวิหารสี่ประการธรรมข้างต้น
ใช้กำกับประพฤติตนมิถลำ
ต้องหมั่นมีให้คู่ใจเป็นประจำ
จึงเลิศล้ำดังหนึ่งพรหมจงเข้าใจ
นี้เป็นธรรมอันประเสริญบริสุทธิ์
ที่มนุษย์ทุกผู้นามควรมีไว้
ให้กำกับความประพฤกำกับใจ
เป็นพรชัยของชีวิตทุกผู้คน
ขอให้ทุกคนทุกคน มีความสุข มีความเจริญ
ประกอบการงานทุกอย่าง ด้วยสัมมาสติ ครับ
วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญของพวกเราชาวพุทธ
ทั้ง 2 วันติดกัน เป็นโอกาสดีเราจะได้เข้าวัดทำบุญ
และได้และหยุดพักผ่อน อีก 2 วัน ผมขอร่วมบุญด้วย
การนำกลอนธรรมดี จากหนังสือบรมธรรม 35
ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
ของสมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะ
มาให้พวกเราได้อ่านกัน
หน้า 53
สัมมา คือ ความดีงามควรปฏิบัติ
ปธาน คือเพียรมนัสไม่ขัดข้อง
สี่ ข้อธรรมอันเป็นทางเป็นครรลอง
เหตุ อันผ่องผุดผาดสะอาดงาม
แห่ง หนใดใจเพียรชอบประกอบกิจ
ความ ทั้งนั้นย่อมสัมฤทธิ์กิจประสาน
ดี ด้วยความเพียรมั่นเป็นต้นทาง
งาม ด้วยย่างดำเนินไปโดยพากเพียร
ของ อันมีความดีงามเป็นทางทิศ
ชีวิต จึ่งสัมฤทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน
พึง ตั้งมั่นในมานะวิริยะพากเพียร
พิศ ดังนี้จงหมั่นเพียรเรียนรู้ธรรม
เป็น มนุนย์สุดประเสริฐเลิศด้วยเพียร
หลัก ชีวิตไม่แผกเพี้ยนเป็นฉนำ
คุณ ค่าคนอยู่ที่มีมานะประจำ
ธรรม เลิศล้ำจึงบำเพ็ญเห็นแจ้งจริง
สัมมาปธานสี่ คือหลักธรรมสี่ประการอันจะยังให้มนุษย์มีความเพียรโดยชอบ ประกอบด้วย
1. สังวรปธาน คือ ความเพียรระวัง ยับยั้ง ปิดกั้นมิให้บาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นมา
2. ปหานปธาน คือ ความเพียรละขจัด กำจัดบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไป
3. ภาวนาปธาน คือ ความเพียรเจริญ ก่อให้เกิดกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดมีขึ้น
4. อนุรักขนาปธาน คือ ความเพียรรักษา ดูแลให้กุศลธรรมอันบังเอิญขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นดำรงอยู่โดยเจริญงอกงามเติบโตจึงพร้อมด้วยความไพบูลย์
หน้า 46
พรหม เทพมีใจบริสุทธิ์ฉุดช่วยสรรพสัตว์
วิหาร คือดวงมนัสจำรัสสดใส
สี่ สถานเป็นหลักธรรมอันอำไพ
เหตุ นี้ไซร้ใจจึงเป็นที่อยู่แห่งพรหม
แห่ง หนใดที่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่
ความ จงรู้ดูที่ใจใฝ่กุศล
ประเสริฐ สุดด้วยจิตคิดมงคล
บริสุทธิ์ ผลกมลธรรมตั้งกลางใจ
ของ มนุษย์ทุกผู้นามวานควรพิศ
ชีวิต หนอหนึ่งชีวิตจิตผ่องใส
พึง มีพรหมวิหารธรรมประจำใจ
พิศ เห็นไซร้ให้บำเพ็ญเป็นครรลอง
เป็น มนุษย์สุดประเสริฐเลิศเหมือนพรหม
หลัก ธรรมมีในใจตนตนจงผุดผ่อง
คุณ ค่าอยู่โดยรู้ธรรมนำครรลอง
ธรรม ทั้งผองย่อมมีใจเป็นต้นทาง
พรหมวิหารธรรมสี่ คือ หลักธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ที่ประเสริฐสี่ประการ เป็นธรรมประจำใจที่ประเสริฐเลิศล้ำเป็นหลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์ และเป็นหลักธรรมอันพึงมีไว้ประจำใจเพื่อใช้กำกับความประพฤติ ยังให้ชีวิตได้โดยหมดจดงดงาม มีการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นโดยชอบ ประกอบด้วยข้อธรรมสี่ประกอบ ดังนี้
1. เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขมีจิตไมตรี คิดประกอบบำเพ็ญประโยชน์แก่มนุษย์โดยทั่วหน้า
2. กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ มีจิตอารีโอบอ้อม หมายเกื้อกูลช่วยเหลือสรรพชีวิตด้วยการปลดเปลื้อง บำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของสรรพสัตว์ให้หมดสิ้นไป
3. มุทิตา คือ ความยินดีในเมื่อผู้อื่นมีความอยู่ดีเป็นสุข มีจิตใจบันเทิงเบิกบาน แช่มชื่น พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นมีความอยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
4. อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง มีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรม ไม่โอนเอนไปด้วยความชอบชัง รู้สงบวางเฉย โดยพิจารณาเห็นความเป็นไปของผู้อื่นตามหลักแห่งธรรม
เมตตาจิตคิดผู้อื่นมีความสุข
ถ้วนมนุษย์สุขเกษมเปรมหรรษา
กรุณาโดยสงสารคนผู้ทุกชีวา
มีเวทนาอนาทรผู้ร้อนภัย
มุทิตาพลอยยินดีคนมีสุข
เขาไร้ทุกข์เราก็ร่วมสุขผ่องใส
อุเบกขารู้สงบเฉยรู้วางใจ
พิศให้เห็นความเป็นไปตามหลักธรรม
พรหมวิหารสี่ประการธรรมข้างต้น
ใช้กำกับประพฤติตนมิถลำ
ต้องหมั่นมีให้คู่ใจเป็นประจำ
จึงเลิศล้ำดังหนึ่งพรหมจงเข้าใจ
นี้เป็นธรรมอันประเสริญบริสุทธิ์
ที่มนุษย์ทุกผู้นามควรมีไว้
ให้กำกับความประพฤกำกับใจ
เป็นพรชัยของชีวิตทุกผู้คน
ขอให้ทุกคนทุกคน มีความสุข มีความเจริญ
ประกอบการงานทุกอย่าง ด้วยสัมมาสติ ครับ
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ธรรมะเตือนใจ
วันนี้ผมเอา ธรรมะดีๆมาฝากสำหรับเป็นข้อคิดเตือนใจให้ทุกท่าน
ได้อ่านและพิจารณาดูครับ จาก Facebook ของ
หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร
"..ใครทำให้เราทุกข์ เราก็ไม่ชอบใจ สัตว์อื่นๆเขาก็เป็นสัตว์โลกเหมือน
กับเรา มีจิตมีใจ มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรา อะไรที่จะทำให้เขาเกิด
ความทุกข์ เราจึงอย่าไปทำ..เราประหารเขา เรานั้นล่ะจะต้องถูกเขาประหาร
เรียกว่ามันเป็นกรรมเป็นเวรที่จะต้องตามสนองชดใช้กัน ไม่มีที่สิ้นสุด..
การให้อภัยจึงมีความจำเป็น อโหสิต่อกัน..จึงให้มีเมตตา ไม่ผูกพยาบาท..
การจองล้างจองผลาญกันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครต้องการ เมื่อเราก็ไม่ต้องการ
เราก็ละเสีย.." หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร
* * * * *
ได้อ่านและพิจารณาดูครับ จาก Facebook ของ
หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร
"..ใครทำให้เราทุกข์ เราก็ไม่ชอบใจ สัตว์อื่นๆเขาก็เป็นสัตว์โลกเหมือน
กับเรา มีจิตมีใจ มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรา อะไรที่จะทำให้เขาเกิด
ความทุกข์ เราจึงอย่าไปทำ..เราประหารเขา เรานั้นล่ะจะต้องถูกเขาประหาร
เรียกว่ามันเป็นกรรมเป็นเวรที่จะต้องตามสนองชดใช้กัน ไม่มีที่สิ้นสุด..
การให้อภัยจึงมีความจำเป็น อโหสิต่อกัน..จึงให้มีเมตตา ไม่ผูกพยาบาท..
การจองล้างจองผลาญกันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครต้องการ เมื่อเราก็ไม่ต้องการ
เราก็ละเสีย.." หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร
* * * * *
วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554
สวัสดี..ปีมะโรง '55
วันนี้เป็นวันปีใหม่ 1 มกราคม 2555 เขาว่ากันว่าจะเป็นปีที่แรง
อีกปีหนึ่ง จะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย
ผมเลยขอแก้เคล็ดด้วยการนำข้อคิดหลักธรรม มาเตือนใจ
ให้พวกเรามีมุ่งมั่นไม่ท้อไม่ถอย สู้ชีวิตกันต่อไป
แทนคำอวยพรครับ.....
จากหนังสือบรมธรรม 35 ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
สมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะ
หน้า 53
สัมมา คือ ความดีงามควรปฏิบัติ
ปธาน คือเพียรมนัสไม่ขัดข้อง
สี่ ข้อธรรมอันเป็นทางเป็นครรลอง
เหตุ อันผ่องผุดผาดสะอาดงาม
แห่ง หนใดใจเพียรชอบประกอบกิจ
ความ ทั้งนั้นย่อมสัมฤทธิ์กิจประสาน
ดี ด้วยความเพียรมั่นเป็นต้นทาง
งาม ด้วยย่างดำเนินไปโดยพากเพียร
ของ อันมีความดีงามเป็นทางทิศ
ชีวิต จึ่งสัมฤทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน
พึง ตั้งมั่นในมานะวิริยะพากเพียร
พิศ ดังนี้จงหมั่นเพียรเรียนรู้ธรรม
เป็น มนุนย์สุดประเสริฐเลิศด้วยเพียร
หลัก ชีวิตไม่แผกเพี้ยนเป็นฉนำ
คุณ ค่าคนอยู่ที่มีมานะประจำ
ธรรม เลิศล้ำจึงบำเพ็ญเห็นแจ้งจริง
สัมมาปธานสี่ คือหลักธรรมสี่ประการอันจะยังให้มนุษย์
มีความเพียรโดยชอบ ประกอบด้วย
1. สังวรปธาน คือ ความเพียรระวัง ยับยั้ง ปิดกั้นมิให้บาป
อกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นมา
2. ปหานปธาน คือ ความเพียรละขจัด กำจัดบาปอกุศล
ที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไป
3. ภาวนาปธาน คือ ความเพียรเจริญ ก่อให้เกิดกุศล
ที่ยังไม่เกิดให้เกิดมีขึ้น
4. อนุรักขนาปธาน คือ ความเพียรรักษา ดูแลให้กุศลธรรม
อันบังเอิญขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นดำรงอยู่โดยเจริญงอกงามเติบโต
จึงพร้อมด้วยความไพบูลย์
ผมคิดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา หรือแม้ว่าชีวิตเรา
จะไม่มีทางไหนให้เลือกมากนัก แต่ทางที่พวกเราควรเลือกทำ
คือ เลือกเดินบนเส้นทางของความดี(ให้ได้มากที่สุด)
* * * สวัสดีปีใหม่ครับ... * * *
อีกปีหนึ่ง จะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย
ผมเลยขอแก้เคล็ดด้วยการนำข้อคิดหลักธรรม มาเตือนใจ
ให้พวกเรามีมุ่งมั่นไม่ท้อไม่ถอย สู้ชีวิตกันต่อไป
แทนคำอวยพรครับ.....
จากหนังสือบรมธรรม 35 ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
สมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะ
หน้า 53
สัมมา คือ ความดีงามควรปฏิบัติ
ปธาน คือเพียรมนัสไม่ขัดข้อง
สี่ ข้อธรรมอันเป็นทางเป็นครรลอง
เหตุ อันผ่องผุดผาดสะอาดงาม
แห่ง หนใดใจเพียรชอบประกอบกิจ
ความ ทั้งนั้นย่อมสัมฤทธิ์กิจประสาน
ดี ด้วยความเพียรมั่นเป็นต้นทาง
งาม ด้วยย่างดำเนินไปโดยพากเพียร
ของ อันมีความดีงามเป็นทางทิศ
ชีวิต จึ่งสัมฤทธิ์ไม่ผิดเพี้ยน
พึง ตั้งมั่นในมานะวิริยะพากเพียร
พิศ ดังนี้จงหมั่นเพียรเรียนรู้ธรรม
เป็น มนุนย์สุดประเสริฐเลิศด้วยเพียร
หลัก ชีวิตไม่แผกเพี้ยนเป็นฉนำ
คุณ ค่าคนอยู่ที่มีมานะประจำ
ธรรม เลิศล้ำจึงบำเพ็ญเห็นแจ้งจริง
สัมมาปธานสี่ คือหลักธรรมสี่ประการอันจะยังให้มนุษย์
มีความเพียรโดยชอบ ประกอบด้วย
1. สังวรปธาน คือ ความเพียรระวัง ยับยั้ง ปิดกั้นมิให้บาป
อกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นมา
2. ปหานปธาน คือ ความเพียรละขจัด กำจัดบาปอกุศล
ที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไป
3. ภาวนาปธาน คือ ความเพียรเจริญ ก่อให้เกิดกุศล
ที่ยังไม่เกิดให้เกิดมีขึ้น
4. อนุรักขนาปธาน คือ ความเพียรรักษา ดูแลให้กุศลธรรม
อันบังเอิญขึ้นแล้วให้ตั้งมั่นดำรงอยู่โดยเจริญงอกงามเติบโต
จึงพร้อมด้วยความไพบูลย์
ผมคิดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา หรือแม้ว่าชีวิตเรา
จะไม่มีทางไหนให้เลือกมากนัก แต่ทางที่พวกเราควรเลือกทำ
คือ เลือกเดินบนเส้นทางของความดี(ให้ได้มากที่สุด)
* * * สวัสดีปีใหม่ครับ... * * *
วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554
กลอนธรรมะ3
ผมเหลือบไปดูปฏิทินเพียงจะรู้ว่าวันนี้เป็น วันพระ เลยขอนำ
ธรรมะคำกลอนดีๆ จากหนังสือบรมธรรม 35
ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
สมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะ
มาให้ได้อ่านกันเพลินๆ บวกกับการได้ข้อคิดสะกิดดีๆ
เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันครับ
หน้า 35
** ธรรมแห่งการเป็นพระโสดาบัน**
วุฒิธรรม กำหนดรู้ดูตนเอง
สี่ ประการครบถ้วนเห็นเป้าหมาย
เหตุ ผลหลักประจักษ์ชัดนัยมากมาย
แห่ง ความหมายที่แท้แห่งความจริง
ความ รู้ถูกรู้ตรงรู้ชัดแท้
เจริญ ใจเป็นแน่แท้แก่ชายหญิง
ของ วัตถุสิ่งใดไปหลงกิน
ชีวิต ปิ่มด้วยกามเกียรติเป็นทุกภัย
พึง นำพาปัญญาเกิดประเสริญสุด
พิศ เห็นเถิดเป็นมนุษย์อย่างสงสัย
หลัก เหตุผลจงรู้ชัดประจักษ์ใจ
ธรรม น้อยใหญ่ก่อให้เกิดความงอกงาม
รู้คบหาสมาคมกับบัณฑิต ย่อมบัณฑิตพาไปให้ถึงผล
หมั่นสนทนากับผู้รู้บัณฑิตชน ย่อมพาให้ปัญญาอุดมผลสมบูรณ์
รู้สดับรับฟังหลักธรรมะ หมั่นศึกษามีมานะจะส่งสูง
จงพากเพียรเรียนรู้ผู้ทรงภูมิ ก็เพิ่มพูนปัญญาพารู้จริง
รู้ขบคิดพิจารณาหาเหตุผล หมั่นคิดค้นอุดมปัญญาว่ายอดยิ่ง
จึงวิชารู้ชัดและรู้จริง รู้ทุกสิ่งโดยถูกตรงตามวิธี
รู้ปฏิบัติโดยสมควรโดยสอดคล้อง ให้ถูกต้องตรงตามทางวิถี
หมั่นปฏิบัติตามหลักธรรมและความดี ได้เช่นนี้นับว่ามีวุฒิธรรม
นี้เป็นธรรมนี้เป็นทางสู่ความเจริญ ใครดำเนินเดินตามได้เป็นฉนำ
ย่อมรุ่งเรืองย่อมงอกงามอยู่โดยธรรม เป็นมงคลอันเลิศล้ำนำชีวิต
หลักวุฒิธรรมสี่ คือ หลักธรรมแห่งความเป็นผู้มีปัญญาหรือ
ธรรมแห่งการเป็นพระโสดาบัน ได้แก่
1. รู้คบหาสัตบุรุษบัณฑิตชน คือ หมั่นเสวนากับผู้รู้ ผู้ส่งคุณ
2. รู้สดับรับฟังสัทธรรม คือ หมั่นน้อมนำตั้งใจไปเล่าเรียนศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้ที่ถูกตรงชัดเจน
3. รู้ทำใจให้แยบคาย คือ หมั่นคิดพิจารณาหาหลักเหตุผลให้ถูกต้องตามวิธี
4. รู้ปฏิบัติประพฤติธรรมโดยสมควรแก่ธรรม หมั่นประกอบกิจโดยสอดคล้อง
พอดีแก่ขอบเขต ความหมาย เป้าหมาย โดยตริตรองนำไปใช้ให้ถูกต้อง
ส่วนคำว่า พระโสดาบัน แปลว่าอะไรและหมายถึงใคร
ผมจะมาขยายความให้อ่านกันในครั้งต่อๆไปครับ
* * * * *
ธรรมะคำกลอนดีๆ จากหนังสือบรมธรรม 35
ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
สมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะ
มาให้ได้อ่านกันเพลินๆ บวกกับการได้ข้อคิดสะกิดดีๆ
เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันครับ
หน้า 35
** ธรรมแห่งการเป็นพระโสดาบัน**
วุฒิธรรม กำหนดรู้ดูตนเอง
สี่ ประการครบถ้วนเห็นเป้าหมาย
เหตุ ผลหลักประจักษ์ชัดนัยมากมาย
แห่ง ความหมายที่แท้แห่งความจริง
ความ รู้ถูกรู้ตรงรู้ชัดแท้
เจริญ ใจเป็นแน่แท้แก่ชายหญิง
ของ วัตถุสิ่งใดไปหลงกิน
ชีวิต ปิ่มด้วยกามเกียรติเป็นทุกภัย
พึง นำพาปัญญาเกิดประเสริญสุด
พิศ เห็นเถิดเป็นมนุษย์อย่างสงสัย
หลัก เหตุผลจงรู้ชัดประจักษ์ใจ
ธรรม น้อยใหญ่ก่อให้เกิดความงอกงาม
รู้คบหาสมาคมกับบัณฑิต ย่อมบัณฑิตพาไปให้ถึงผล
หมั่นสนทนากับผู้รู้บัณฑิตชน ย่อมพาให้ปัญญาอุดมผลสมบูรณ์
รู้สดับรับฟังหลักธรรมะ หมั่นศึกษามีมานะจะส่งสูง
จงพากเพียรเรียนรู้ผู้ทรงภูมิ ก็เพิ่มพูนปัญญาพารู้จริง
รู้ขบคิดพิจารณาหาเหตุผล หมั่นคิดค้นอุดมปัญญาว่ายอดยิ่ง
จึงวิชารู้ชัดและรู้จริง รู้ทุกสิ่งโดยถูกตรงตามวิธี
รู้ปฏิบัติโดยสมควรโดยสอดคล้อง ให้ถูกต้องตรงตามทางวิถี
หมั่นปฏิบัติตามหลักธรรมและความดี ได้เช่นนี้นับว่ามีวุฒิธรรม
นี้เป็นธรรมนี้เป็นทางสู่ความเจริญ ใครดำเนินเดินตามได้เป็นฉนำ
ย่อมรุ่งเรืองย่อมงอกงามอยู่โดยธรรม เป็นมงคลอันเลิศล้ำนำชีวิต
หลักวุฒิธรรมสี่ คือ หลักธรรมแห่งความเป็นผู้มีปัญญาหรือ
ธรรมแห่งการเป็นพระโสดาบัน ได้แก่
1. รู้คบหาสัตบุรุษบัณฑิตชน คือ หมั่นเสวนากับผู้รู้ ผู้ส่งคุณ
2. รู้สดับรับฟังสัทธรรม คือ หมั่นน้อมนำตั้งใจไปเล่าเรียนศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้ที่ถูกตรงชัดเจน
3. รู้ทำใจให้แยบคาย คือ หมั่นคิดพิจารณาหาหลักเหตุผลให้ถูกต้องตามวิธี
4. รู้ปฏิบัติประพฤติธรรมโดยสมควรแก่ธรรม หมั่นประกอบกิจโดยสอดคล้อง
พอดีแก่ขอบเขต ความหมาย เป้าหมาย โดยตริตรองนำไปใช้ให้ถูกต้อง
ส่วนคำว่า พระโสดาบัน แปลว่าอะไรและหมายถึงใคร
ผมจะมาขยายความให้อ่านกันในครั้งต่อๆไปครับ
* * * * *
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
กลอนธรรมะ 2
เนื่องวันนี้เป็นวันพระ ผมเลยจะขอนำ บทกลอนธรรมะดี
จากหนังสือบรมธรรม 35 ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
สมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะหน้าที่ 23
มาให้พวกได้อ่านกัน
ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์
ถ้ายิ่งรักก็ยิ่งทุกข์สุดข่วงเข็ญ
ที่ใดมีความโกรธเกลียดไม่สุขเย็น
ที่นั่นไซร้ทุกข์ลำเค็ญเป็นแน่นอน
เพราะชื่นชอบพาหลงใหลจนเป็นทุกข์
เพราะยิ่งชิงชังจึงมนุษย์ต้องทุกข์ร้อน
ตกเป็นทาสของอารมณ์ไม่รู้ผ่อน
จึงเดือดร้อนเป็นทุกข์ใจไร้สุขเย็น
ชัดเช่นนี้จงรู้หยุดความชังชอบ
แล้วประกอบบำเพ็ญตนจงควรเห็น
ละความชอบเลิกความชังนำสุขเย็น
ทุกข์ข่วงเข็ญนั่นไม่มีนี้จงจำ
แล้วน้อมธรรมมานำใจให้แช่มชื่น
ละแสนหมื่นความชอบชังถ้วนทั้งนั่น
ได้ดังนี้จะมีสุขทุกวี่วัน
จงพากันหยุดชอบชังนำสุขใจ
* * *จากหน้า 23** *
อคติ หากเกิดมีขึ้นในใจ
สี่ สถานนำทุกข์ภัยให้ผู้นั้น
เหตุ เพราะความลำเอียงไม่ตรงมั่น
แห่ง หนทางจึงถลำตกต่ำลง
ความ ชอบชังกลัวหลงอคติสี่
สั่น ไหวให้ใจคนนี้ต้องหมองหม่น
คลอน แคลนให้ใจมนุษย์ฉุดต่ำลง
ของ หรือคนหากมีอคติสินำภัย
ชีวิต นั้นจะมั่นคงได้ด้วยธรรม
พึง น้อมนำกำกับจิตอย่าสั่วไหว
พิศ เรียนรู้ให้ครบถ้วนธรรมน้อยใหญ่
เห็น แจ้งใจอย่าให้มีอคติขึ้นเลย
เป็น มนุษย์สุดประเสริฐเลิศกว่าสัตว์
หลัก ปฏิบัติต้องชัดเจนอย่าอยู่เฉย
คุณ ค่าคนต้องขวยขวายได้มาเอย
ธรรม ทั้งปวงใช่เพียงเอ่ยต้องบำเพ็ญ
* * * จากหน้า 25 * * *
พุทธพจน์ กล่าวว่า อคติสี่คือความลำเอียง 4 ประการอันเป็นทาง
ที่นำให้มนุษย์ประพฤติผิด ดังแบ่งออกได้เป็นดังนี้
1. ฉันทาคติ คือ ลำเอียงเพราะชอบ
2. โทสาคติ คือ ลำเอียงเพราะชัง
3. โมหาคติ คือ ลำเอียงเพราะหลง
4. ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะกลัว
ฉันทาคติถ้าเกิดขึ้นในใจตน
จะลำเอียงด้วยกมลชอบชมหนอ
โทสาคติเพราะความชังยังเกิดก่อ
ความลำเอียงพลาดพลั้งถ่อผิดทางไป
โมหาคติเพราะหลงจนตกต่ำ
เลยถลำทำผิดพลาดอาจฉิบฉาย
ภยาคติเพราะหวั่นกลัวเกิดในใจ
จึงประสบพบทุกข์ภัยเพราะใจลำเอียง
อคติสี่ประการผลาญธรรมสูญ
เผาประยูรวงศาธรรมไม่อาจเลี่ยง
เป็นทางให้ประพฤติผิดลำเอียง
เป็นสำเนียงเสียงแห่งมารวานอย่าฟัง
ชัดเช่นนี้มีสติปัญญาตั้ง
เป็นกำบังกั้นมารร้ายไม่ให้ถลำ
แล้วทำลายอคติสี่ให้ภินท์ผัง
โดยน้อมนำคุณธรรมกำกับใจ
*** จากหน้า 27 ****
ผู้ที่ประพฤติธรรมย่อมได้รัการคุ้มครองจากธรรม
* * * * *
จากหนังสือบรมธรรม 35 ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1)
สมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า” จีจินเกาะหน้าที่ 23
มาให้พวกได้อ่านกัน
ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์
ถ้ายิ่งรักก็ยิ่งทุกข์สุดข่วงเข็ญ
ที่ใดมีความโกรธเกลียดไม่สุขเย็น
ที่นั่นไซร้ทุกข์ลำเค็ญเป็นแน่นอน
เพราะชื่นชอบพาหลงใหลจนเป็นทุกข์
เพราะยิ่งชิงชังจึงมนุษย์ต้องทุกข์ร้อน
ตกเป็นทาสของอารมณ์ไม่รู้ผ่อน
จึงเดือดร้อนเป็นทุกข์ใจไร้สุขเย็น
ชัดเช่นนี้จงรู้หยุดความชังชอบ
แล้วประกอบบำเพ็ญตนจงควรเห็น
ละความชอบเลิกความชังนำสุขเย็น
ทุกข์ข่วงเข็ญนั่นไม่มีนี้จงจำ
แล้วน้อมธรรมมานำใจให้แช่มชื่น
ละแสนหมื่นความชอบชังถ้วนทั้งนั่น
ได้ดังนี้จะมีสุขทุกวี่วัน
จงพากันหยุดชอบชังนำสุขใจ
* * *จากหน้า 23** *
อคติ หากเกิดมีขึ้นในใจ
สี่ สถานนำทุกข์ภัยให้ผู้นั้น
เหตุ เพราะความลำเอียงไม่ตรงมั่น
แห่ง หนทางจึงถลำตกต่ำลง
ความ ชอบชังกลัวหลงอคติสี่
สั่น ไหวให้ใจคนนี้ต้องหมองหม่น
คลอน แคลนให้ใจมนุษย์ฉุดต่ำลง
ของ หรือคนหากมีอคติสินำภัย
ชีวิต นั้นจะมั่นคงได้ด้วยธรรม
พึง น้อมนำกำกับจิตอย่าสั่วไหว
พิศ เรียนรู้ให้ครบถ้วนธรรมน้อยใหญ่
เห็น แจ้งใจอย่าให้มีอคติขึ้นเลย
เป็น มนุษย์สุดประเสริฐเลิศกว่าสัตว์
หลัก ปฏิบัติต้องชัดเจนอย่าอยู่เฉย
คุณ ค่าคนต้องขวยขวายได้มาเอย
ธรรม ทั้งปวงใช่เพียงเอ่ยต้องบำเพ็ญ
* * * จากหน้า 25 * * *
พุทธพจน์ กล่าวว่า อคติสี่คือความลำเอียง 4 ประการอันเป็นทาง
ที่นำให้มนุษย์ประพฤติผิด ดังแบ่งออกได้เป็นดังนี้
1. ฉันทาคติ คือ ลำเอียงเพราะชอบ
2. โทสาคติ คือ ลำเอียงเพราะชัง
3. โมหาคติ คือ ลำเอียงเพราะหลง
4. ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะกลัว
ฉันทาคติถ้าเกิดขึ้นในใจตน
จะลำเอียงด้วยกมลชอบชมหนอ
โทสาคติเพราะความชังยังเกิดก่อ
ความลำเอียงพลาดพลั้งถ่อผิดทางไป
โมหาคติเพราะหลงจนตกต่ำ
เลยถลำทำผิดพลาดอาจฉิบฉาย
ภยาคติเพราะหวั่นกลัวเกิดในใจ
จึงประสบพบทุกข์ภัยเพราะใจลำเอียง
อคติสี่ประการผลาญธรรมสูญ
เผาประยูรวงศาธรรมไม่อาจเลี่ยง
เป็นทางให้ประพฤติผิดลำเอียง
เป็นสำเนียงเสียงแห่งมารวานอย่าฟัง
ชัดเช่นนี้มีสติปัญญาตั้ง
เป็นกำบังกั้นมารร้ายไม่ให้ถลำ
แล้วทำลายอคติสี่ให้ภินท์ผัง
โดยน้อมนำคุณธรรมกำกับใจ
*** จากหน้า 27 ****
ผู้ที่ประพฤติธรรมย่อมได้รัการคุ้มครองจากธรรม
* * * * *
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
กลอนธรรมะ1
พอดีได้หนังสือธรรมที่เป็นคำกลอนมา ผมอ่านดูมันน่าสนใจดี
แล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากเก็บไว้อ่านคนเดียวเลยขอ
นำมามาแบ่งปันให้ ทุกคนได้ลองอ่านกัน
ผมนำมาจากหนังสือบรมธรรม 35 ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1) ของ สมาคมเผยแผ่คุณธรรม
“เต็กก่า” จีจินเกาะ
จึงขออนุญาตทางสมาคม มาในโอกาสนี้ครับ
* หน้า 15 *
แก้ วิบากยากกว่ายากไม่อาจแก้
กรรม เที่ยงแท้ย่อมส่งผลสนอง
อย่าง ที่เห็นที่เป็นอยู่รู้ครรลอง
ไร ไรก็เห็นจะต้องรับผลกรรม
ให้ ตระหนักชัดรู้ดูต้นเหตุ
ถูก หรือผิดพิศสังเกตเป็นฉนำ
วิ เคราะห์เห็นเป็นปัญญาพาแจ้งธรรม
ธี- รภาพพึงน้อมนำหมั่นบำพ็ญ
* หน้า 17 *
จะแก้กรรมต้องแก้ไขใจตนก่อน
จึงจะผ่อนแก้วิถีทางสถล
กรรมเคยก่อผ่านไปแล้วย่อมบันดล
วิบากผลต้องได้รับกับตนเอง
จงสำนึกระรึกรู้ดูกรรมเก่า
แล้วน้อมนำมาแก้ตัวเฝ้าครวญเห็น
เคยทำผิดกลับใจใฝ่บำเบ็ญ
ได้ดังนี้ย่อมชัดเจนเป็นกรรมดี
แล้วตั้งมั่นเราจะสร้างแต้กุศลกรรม
โดยน้อมนำกำกับใจไม่ผลามผลี
เติมความจริงเสริมความงามเพิ่มความดี
ให้ชีวีมีปัญญาพาพ้นกรรม
นี้เป็นธรรมนี้เป็นทางควรย่างก้าว
แม้จะไกลแม้จะยาวต้องมุ่งมั่น
มิใช่มัวมาคิดแต่จะแก้กรรม
ควรตระหนักพาพ้นกรรมยังว่าดี
*** จบ ***
* หน้า 21 *
ทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดจากใจตนเอง
ไปเติมเต็มด้วยความอยากได้ใคร่มีทั้งหลาย
เลยทำให้ต้องไปตะเกียกตะกาย
จนวุ่นวายทั้งกายใจเพราะไม่รู้พอ
อยากจะมีอายุยืนยาวก็เป็นทุกข์
หวังชื่อเสียงก็เป็นทุกข์มนุษย์หนอ
อยากจะได้เกียรติยศไม่รู้พอ
ทุกข์ก่อกำเนิดเกิดในตน
หวังสั่งสมเงินทองกองมั่งมี
ถ้าเช่นนี้เป็นทุกข์ถ้วนสถล
มนุษย์เคยรู้ไหมรู้ใจตน
หยุดดิ้นรนก็หมดทุกข์พาสุขใจ
**** จบ ****
* หน้า 22 *
ชอบ สิ่งใดสิ่งนั้นไซร้ทำให้ทุกข์
ชัง สิ่งไหนสิ่งนั้นให้ทุกข์ข่วงเข็ญ
นำ ใจให้ร้อนรุมมิรู้เย็น
ทุกข์ ลำเค็ญเห็นเป็นด้วยความชอบชัง
รู้ ระงับดับสิ้นเสียซึ่งชอบชัง
หยุด แส่ส่ายความชังชอบไม่ล่วงถลำ
ชอบ ผู้ใดผู้นั้นไซร้ให้ทุกข์ประจำ
ชัง ผู้ใดผู้นั้นนำทุกข์ให้ตน
ขอ จงรู้เลิกลดละซึ่งชอบชัง
อย่า ประกอบความทุกข์ขึ้นทุกห้วงสถล
เผลอ ใจไปคิดชอบชังนำทุกข์มล
พลั้ง เพียงนิดชีวิตตนทุกข์มากมี
น้อม ปัญญาพาเห็นชัดประจักษ์จิต
ธรรม พินิจถี่ถ้วนครวญวิถี
นำ พาพ้นชอบชังอันมามี
ใจ ก็ย่อมจะสุขีไร้ทุกข์ภัย
*** จบ ***
แล้วพบธรรมะคำกลอนใหม่ ใกล้วันพระครั้งหน้าครับ
ขอให้ทุกคนทุกท่านขอมีความสุขความเจริญในธรรมครับ
* * * * *
แล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากเก็บไว้อ่านคนเดียวเลยขอ
นำมามาแบ่งปันให้ ทุกคนได้ลองอ่านกัน
ผมนำมาจากหนังสือบรมธรรม 35 ชุดคู่มือเพื่อการสร้างสรรค์ชีวิต
คติธรรมแห่งฟ้าอภัยบาป (1) ของ สมาคมเผยแผ่คุณธรรม
“เต็กก่า” จีจินเกาะ
จึงขออนุญาตทางสมาคม มาในโอกาสนี้ครับ
* หน้า 15 *
แก้ วิบากยากกว่ายากไม่อาจแก้
กรรม เที่ยงแท้ย่อมส่งผลสนอง
อย่าง ที่เห็นที่เป็นอยู่รู้ครรลอง
ไร ไรก็เห็นจะต้องรับผลกรรม
ให้ ตระหนักชัดรู้ดูต้นเหตุ
ถูก หรือผิดพิศสังเกตเป็นฉนำ
วิ เคราะห์เห็นเป็นปัญญาพาแจ้งธรรม
ธี- รภาพพึงน้อมนำหมั่นบำพ็ญ
* หน้า 17 *
จะแก้กรรมต้องแก้ไขใจตนก่อน
จึงจะผ่อนแก้วิถีทางสถล
กรรมเคยก่อผ่านไปแล้วย่อมบันดล
วิบากผลต้องได้รับกับตนเอง
จงสำนึกระรึกรู้ดูกรรมเก่า
แล้วน้อมนำมาแก้ตัวเฝ้าครวญเห็น
เคยทำผิดกลับใจใฝ่บำเบ็ญ
ได้ดังนี้ย่อมชัดเจนเป็นกรรมดี
แล้วตั้งมั่นเราจะสร้างแต้กุศลกรรม
โดยน้อมนำกำกับใจไม่ผลามผลี
เติมความจริงเสริมความงามเพิ่มความดี
ให้ชีวีมีปัญญาพาพ้นกรรม
นี้เป็นธรรมนี้เป็นทางควรย่างก้าว
แม้จะไกลแม้จะยาวต้องมุ่งมั่น
มิใช่มัวมาคิดแต่จะแก้กรรม
ควรตระหนักพาพ้นกรรมยังว่าดี
*** จบ ***
* หน้า 21 *
ทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดจากใจตนเอง
ไปเติมเต็มด้วยความอยากได้ใคร่มีทั้งหลาย
เลยทำให้ต้องไปตะเกียกตะกาย
จนวุ่นวายทั้งกายใจเพราะไม่รู้พอ
อยากจะมีอายุยืนยาวก็เป็นทุกข์
หวังชื่อเสียงก็เป็นทุกข์มนุษย์หนอ
อยากจะได้เกียรติยศไม่รู้พอ
ทุกข์ก่อกำเนิดเกิดในตน
หวังสั่งสมเงินทองกองมั่งมี
ถ้าเช่นนี้เป็นทุกข์ถ้วนสถล
มนุษย์เคยรู้ไหมรู้ใจตน
หยุดดิ้นรนก็หมดทุกข์พาสุขใจ
**** จบ ****
* หน้า 22 *
ชอบ สิ่งใดสิ่งนั้นไซร้ทำให้ทุกข์
ชัง สิ่งไหนสิ่งนั้นให้ทุกข์ข่วงเข็ญ
นำ ใจให้ร้อนรุมมิรู้เย็น
ทุกข์ ลำเค็ญเห็นเป็นด้วยความชอบชัง
รู้ ระงับดับสิ้นเสียซึ่งชอบชัง
หยุด แส่ส่ายความชังชอบไม่ล่วงถลำ
ชอบ ผู้ใดผู้นั้นไซร้ให้ทุกข์ประจำ
ชัง ผู้ใดผู้นั้นนำทุกข์ให้ตน
ขอ จงรู้เลิกลดละซึ่งชอบชัง
อย่า ประกอบความทุกข์ขึ้นทุกห้วงสถล
เผลอ ใจไปคิดชอบชังนำทุกข์มล
พลั้ง เพียงนิดชีวิตตนทุกข์มากมี
น้อม ปัญญาพาเห็นชัดประจักษ์จิต
ธรรม พินิจถี่ถ้วนครวญวิถี
นำ พาพ้นชอบชังอันมามี
ใจ ก็ย่อมจะสุขีไร้ทุกข์ภัย
*** จบ ***
แล้วพบธรรมะคำกลอนใหม่ ใกล้วันพระครั้งหน้าครับ
ขอให้ทุกคนทุกท่านขอมีความสุขความเจริญในธรรมครับ
* * * * *
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)