วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ครูที่ดีที่สุดในช่วงเปิดทอม

  บทความในตอนนี้ผมเขียนขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้เห็นมา เลยอยากนำมาเล่าสู่กันให้ลองอ่านดู ไม่ได้มีเจตนาในทางไม่ดีกับใคร เพียงแต่ต้องการแสดงความคิด มุมมองและความรู้สึกต่อสภาพสังคมที่เห็นเท่านั้น
 
ในช่วงนี้ก็เข้าสู่ช่วงเวลาของการเปิดภาคเรียนใหญ่ที่ยาวนาน ผมคิดว่านักเรียนส่วนใหญ่ก็คงได้อยู่พักอยู่ที่บ้าน และมีนักเรียนบ้างส่วนต้องเรียนภาคฤดูร้อน(Summer)ที่โรงเรียนต่ออีกระยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามด้วยสภาพสังคมที่มีการแข่งขันกันสูง ในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การงาน ไม่เว้นการเรียน ถึงแม้ว่าจะปิดเทอมไม่ต้องเรียนที่โรงเรียนตามปกติ แต่ผมเชื่อว่ามีเด็กอีกจำนวนมากที่ผู้ปกครอง พ่อแม่มีกำลังเงินพอก็จะหาที่เรียนพิเศษเพิ่มให้ลูกให้หลาน เพื่อประโยชน์หลายด้านเช่น เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการหาความรู้เพิ่มกับเด็กนักเรียน หลายครอบครัวผู้ปกครองต้องทำงานไม่มีเวลาดูแล เลยต้องหาที่เรียนหรือหาสถานทีที่มีกิจกรรมดีๆให้เด็กไปทำ ผู้ปกครองบ้างคนที่ผมรู้จักมีความตั้งใจจะส่งลูกไปเรียนต่อๆช่วงสั้นๆที่ต่างประเทศเพื่อให้ไปหาความรู้และหาประสบการณ์ใหม่ๆ

  ที่ผมกล่าวมาดูเหมือนว่าผมจะพูดถึงนักเรียนที่มีฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ผมลืมพูดถึงผมที่ฐานะปานกลางหรือฐานะไม่ดีหรือเปล่า ก็ขอบอกเลยครับว่า "ไม่ได้ลืมนะครับ" ผมกำลังจะบอกว่า ผมมีแนวความคิดว่า ถึงแม้ว่าอีกหลายๆครอบครัวที่ฐานะไม่ได้นัก ไม่มีกำลังจะส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศหรือแม้จะเรียนพิเศษที่อื่น ผมคิดว่าพ่อแม่ ผู้ปกครองอาจจะไม่ต้องส่งลูกไปเรียนข้างนอก(บ้าน)ก็ได้ เพราะช่วงปิดเทอม เด็กๆ(นักเรียน)น่าจะได้เรียนรู้อยู่กับครูที่ดีที่สุด ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ คุณผู้ปกครองเองนั้นแหละครับ เพราะว่าช่วงปิดเทอมน่าจะเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัว น่าจะได้มีโอกาสได้อยู่ด้วยมากขึ้น น่าจะเป็นช่วงที่คุณพ่อ คุณแม่ คุณผู้ปกครอง ได้สังเกตและประเมินดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน ว่า 1 เทอมที่ผ่านมา เด็กๆมีพัฒนาการเป็นอย่างไรบ้าง ได้เรียนรู้อะไรจากโรงเรียน มีทัศนคติอย่างไร มีอะไรที่ผิดสังเกตไปบ้าง และถือเป็นโอกาสที่ดีจะสอนวิชาที่ไม่ได้มีอยู่ในห้องเรียน ที่คุณครูสอนไม่ได้ ก็คือ วิชาชีวิตและประสบการณ์ของผู้ปกครอง แล้ววิชานี้มันเรียนอย่างไร สอนอย่างไรกัน การเรียนวิชานี้ก็ไม่ยากอะไรหลอกครับ ง่ายๆเลย คือการให้ลูกหลานได้มีเวลาอยู่กับเรา(พ่อแม่ ผู้ปกครอง)บ้าง ได้เห็นเราทำงานต่างๆ ให้เด็กได้รับทราบ ซึมซับและค่อยๆเรียนรู้ ว่าพ่อแม่ ทำงานอย่างไรและมีความยากลำบาก เหน็ดเหนื่อยแบบไหน เมื่อเกิดมีปัญหา พ่อแม่มีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร ผมจะขอยกตัวอย่างครอบครัวๆหนึ่งที่ดูน่ารักและอบอุ่นมาก ครอบครัวนี้คุณแม่ทำอาชีพขายน้ำกาแฟและเครื่องดื่มร้อน-น้ำต่างๆ อยู่ริมทาง โดยปกติหลังเลิกเรียนลูกๆ ก็จะมาช่วยแม่เฝ้าร้านและเก็บร้านทุกวัน วันหยุดก็จะมาอยู่ที่ร้านกับแม่ตลอด ถ้าไม่มีธุระที่อื่น โดยในช่วงที่ไม่มีลูกค้า เด็กๆก็จะนั่งคุยกับแม่บ้าง อ่านหนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ ทำการบ้าน อยู่เป็นลูกมือช่วยแม่ หยิบนั่นทำนี้ มาตลอดตั้งแต่เล็กๆ จนตอนนี้เด็ฟๆได้วิชาการชงกาแฟและทำเครื่องดื่มต่างๆจากแม่ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งผมได้ซื้อทานอยู่บ่อยๆ และโดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมแบบนี้เด็กๆ ก็ไม่ได้หนีไปไหนเลย ไม่ได้นอนตื่นสายๆ เหมือนเด็กอีกๆหลายคน (อันนี้รวมถึงผมเองตอนเด็กๆด้วย...) เพราะยังไงก็ต้องตื่นมาช่วยแม่ เปิดร้านขายของ ช่วยดูแลร้านตามปกติ แถมยังหากิจการส่วนตัวที่ไปกันได้กับร้านกาแฟอีกอย่างด้วย คือ ขายขนมปังปิ้งทาเนย ขายเป็นรายได้เสริมช่วยแม่อีกทางหนึ่ง ครั้งหนึ่งผมได้ถามเจ้าของร้าน(คนที่เป็นแม่)ว่า "เด็กๆเขาไม่ไปติดเกมบ้างหรือไง ร้านเกมก็อยู่ใกล้ๆนี้เอง" เจ้าของร้านที่คุ้นเคยกันดี ก็ยิ้มแล้วบอกว่า "โชคดีมาก เด็กๆเขาไม่เอาเอง เขาไม่ชอบ ที่ติดก็คงมีแต่ชอบโทรศัพท์คุยกับเพื่อนบ้าง นิดหน่อย" ผมถามต่อไปว่า "แล้วเด็กๆมีดื้อบ้างหรือเปล่า" เจ้าของร้านก็ตอบมาว่า "ก็มีบางตามภาษาวัยรุ่น แต่ก็เอาอยู่ คุยกันรู้เรื่อง" ผมเองได้ฟังแล้วก็คิดชื่นชมอยู่ในใจอยู่เหมือนกัน แต่ผมคิดว่าเบื้องหลังความสำเร็จที่สำคัญคือ ความใกล้ชิดกลมเกลียวกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่ได้อยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกันได้เห็นและเรียนรู้ปัญหาของกันและกัน โดยมีผู้ปกครองเป็นเสาหลัก ค่อยบอกค่อยสอน ชี้ว่าอะไรถูก-อะไรผิด ก็เลยส่งผลให้ เด็กๆเป็นคนดี เป็นคนที่เข้าสังคมเก่ง รู้จักการช่วยเหลือพ่อแม่ รู้จักที่จะสร้างพื้นฐานของการช่วยเหลือตัวเอง รู้จักการแบ่งเวลา มีวินัยในการใช้ชีวิตและการเรียนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก และอีกสิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ เด็กๆดูเป็นคนมีความสุขและความอบอุ่น

  เมื่อคิดย้อนกับไปที่เด็กๆที่พ่อแม่ ส่งลูกไปเรียนพิเศษอย่างเดียว บางทีเมื่อลองคิดไปอีกมุมหนึ่งก็ดูเหมือนเป็นการผลักไส เด็กๆให้ออกห่างจากตัวพ่อแม่ ถ้าสำหรับเด็กๆที่มีภูมิคุ้มกันที่ดีและมีเป้าหมายในชีวิตอยู่แล้วก็ไม่น่ามีปัญหา แต่สำหรับเด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่ดีนัก ก็อาจจะมีปัญหาได้ เช่นหนีเรียนพิเศษ ไปติดเพื่อนบ้าง ติดเกมบ้าง ติดการใช้มือถือที่มีเครือข่ายสังคมออนไลน์(Social Network)บ้าง ซึ่งอย่างหลังผมเห็นเด็กๆติดกันมากๆบางครั้งแทบจะไม่สนใจสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเหลือ ซึ่งอันตรายมาก และที่สำคัญเป็นการสะสมความรู้สึกห่างเหินและความไม่เข้าใจกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆสมัยนี้ โตเร็ว มีความคิดเป็นของตัวเองสูงและมีความกล้าแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิด (บางครั้งแบบไม่ยั้งคิด) ซึ่งอาจจะนำไปสู่แนวทางที่ผิดได้

  ที่ผมเขียนแบบนี้ ไม่ใช่เป็นการเชียร์หรือบังคับให้ทุกคนในครอบครัวต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาในช่วงปิดเทอมเพราะไม่มีทางที่จะเป็นเช่น แต่ผมเพียงแค่ต้องการให้ผู้ปกครองได้คิดถึงหน้าที่และความสำคัญของพ่อแม่และผู้ปกครองเองในบทบาทของความเป็นครูโดยธรรมชาติ โดยแบ่งเวลาและความรู้สึกมาสนใจในความเป็นไปของลูกให้มากขึ้นเท่านั้น เพื่อช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้เด็กๆ ในสภาพที่สังคมสิ่งที่มีสิ่งเร้าที่ดีมากและที่ไม่ดีก็มาก(กว่า)
******

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

คำศัพท์คอมพิวเตอร์9

สวัสดีครับทุกคน วันนี้ก็มีคำศัพท์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาให้ได้ดูกันอีกตอน ไม่ต้องเสียเวลาที่มีค่า เราดูกันเลย
application program โปรแกรมประยุกต์
apply ใช้ให้เป็นประโยชน์, นำไปใช้
approach เข้าไปใกล้,เข้าพบ
approve พิสูจน์,รับรองว่าถูก
arrange จัดเรียง
brightness ความสว่าง
Broadband สื่อกลางประเภทสายเคเบิลที่สามารถส่งข้อมูล
  ได้หลายช่องทาง / เทคโนโลยีการส่งข้อมูลความเร็วสูง
  ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
Broadcast การกระจายสัญญาณ, การแพร่ภาพ
Browse alphabetically ค้นหาตาลำดับตัวอักษร
browse การค้นหาข้อมูลหรือแฟ้มเอกสาร
compliance การยอมทำตาม
component ส่วนประกอบ
compose คำสั่งในการสร้างพิมพ์ข้อความของจดหมาย
computer science วิทยาการคอมพิวเตอร์
computer simulation การจำลองเหตุการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์
detail รายละเอียด
develop พัฒนา
device เครื่องมือ; เครื่องประกอบในคอมพิวเตอร์
diagnose หาสาเหตุ, วินิจฉัยโรค
diagram ผังองค์กร, แผนภาพ
error ความผิดพลาด
estimate time เวลาโดยประมาณ
exit ออกจากโปรแกรม
expansion ส่วนขยาย, ส่วนเพิ่มเติม
expert ผู้เชี่ยวชาญ
external ภายนอก
numeric format รูปแบบตัวเลข
Numeric ที่เกี่ยวกับตัวเลข
online service การให้บริการโดยให้คำปรึกษาและ
  แก้ไขปัญหาผ่านทางอินเตอร์เน็ต
online สถานะที่อุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้
  หรือคอมพิวเตอร์อยู่ในสถานะเชื่อมโยงในเครือข่าย
open file แฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่าน ทำการแก้ไขและบันทึกข้อมูล
open เปิดหรือเรียกแฟ้มต่างๆมาทำการแก้ไข
Operating System (OS) โปรแกรมพื้นฐานในการจัดการกับ
  คอมพิวเตอร์ เช่น windows รุ่นต่างๆ
photograph scanning การสแกนภาพ
PIN (personal identification number) รหัสบุคคล
pixel จุดซึ่งใช้ในการสร้างภาพ
pre-installed by the manufacturer ที่ถูกติดตั้งไว้ก่อนแล้วโดยผู้ผลิต
RAM (andom access memory) หน่วยความจแบบชั่วคราวที่ใช้
  เก็บข้อมูลขณะที่คอมพิวเตอร์ทำงานอยู่
random access การเข้าถึงโดยสุ่ม
Rating การจัดอันดับคุณภาพหรือระดับความรุนแรง
README เป็นชื่อแฟ้มข้อมูลมาติดมากับโปรแกรมทำให้ผู้ใช้ทราบ
  ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมต่างๆ
Read-only อ่านอย่างเดียว(แก้ไขไม่ได้)

** ถึงแม้ว่าจะปิดเทอมกันแล้วแต่อย่าลืมอ่านหนังสือกันบ้างนะครับ **

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตอบคำถามคุณเอก-เรื่องถังน้ำมัน

สวัสดีครับทุกคน ผมเพิ่งจะว่างจากงานประจำและงานด่วนมีเวลา
มาตอบปัญหาที่ ที่คุณเอก(barame@hotmail.com) ได้ฝากถามมา
เกี่ยวกับการวัดระดับความสูงของได้น้ำมันในถัง โดยมีคำถามว่า

วิธิการคิดการวัดระดับน้ำมันในถังรถขนส่งน้ำมันหน่อยครับ
ผมขับรถขนส่งน้ำมันแต่พอเติมเข้าสองหมื่นลิตร มันสูงขึ้นเกินครึ่ง
อยากจะได้ไม้วัดระดับหรือวัดจากก้นถังขึ้นไปก็ได้ครับ ถังเป็น
ทรงกระบอกวงรีสูง 1.8 เมตร กว้าง 2.4 เมตร ยาว 20 เมตร

ตอนแรกก็คิดว่าเป็นปัญหาง่ายๆนะครับ ถ้าจะใช้ความรู้ทาง
คณิตศาสตร์มาช่วยในการหาระดับความสูงหรือความลึก
แต่ปรากฏว่า ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะถังน้ำมันมีลักษณะที่
ความสูงนอนราบไปกับพื้นถนน (ถ้าตั้งตรงจะคิดได้ง่ายมาก)
การคำนวณจริงต้องใช้ความรู้ในเรื่องของแคลคูลัส ที่ผมเคย
เรียนในระดับมหาวิทยาลัย แต่ไม่แน่ใจว่าในระดับ มัธยมปลาย
สอนเนื้อหาส่วนนี้หรือยัง

ผมเลยจะขอตอบข้อสงสัยนี้นะครับ โดยขอแสดงวิธีการหา
ปริมาตรของถังน้ำมันให้ก่อน ตามนี้ครับ

แต่ถ้าต้องการจะวัดระดับของน้ำมันจริงๆ ผมขอแนะนำวิธีง่ายแบบนี้ครับ
1. ใช้ท่อพีวีซี (PVC) ยาว 2 เมตรที่มีมาตราวัดแบบไม้บรรทัด
   อาจจะขีดขึ้นเองก่อนได้
2.  แล้วปลายท่อด้านที่มีตัวเลขน้อยจุ่มลงไปจากฝาเปิดด้านบนของถัง
  พยายามให้ปลายท่อแตะกับด้านบนของน้ำมันพอดีแล้วอ่านต้วเลข
  ที่อยู่ปลายท่ออีกด้าน (จะเป็นด้านตัวเลขที่มาก) เช่น อ่านตัวเลขได้
  1.2 เมตร
3. นำมาหาความลึกของน้ำมันจากก้นถัง
    เท่ากับ ความลึกของถัง - ตัวเลขที่อ่านได้ = 1.8 - 1.2 = 0.6 เมตร
ดังนั้น มีน้ำมันในถังอยู่ 0.6 เมตร หรือ 60 ซ.ม.

ตรงนี้ก่อนหน้าจะเป็นวิธีได้พอใช้ได้,ประหยัด, น่าจะสะดวกและเร็ว
นะครับ แต่ไม่ทราบว่าจะใช้ได้จริงหรือเปล่านะครับ ได้ผลยังไงก็บอก
ผมด้วยจะขอบคุณมาก
** **** **

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

คุยกับคุณwhat_good

คุยกับคุณ what_good@hotmail.co.th  ที่เขียนมาว่า
อยากเจอครูอย่างนี้จัง เผื่อชีวิตจะดีขึ้นกว่านี้ ถ้าจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่ -10
 ... ผมก็คงจะเริ่มนับตั้งแต่ติดลบเลยหละครับ ผมอยากได้คำสอนดีๆบ้าง
ช่วยรบกวนส่งคำสอนให้ผมหน่อยนะครับ ที่ E-mail what_good@hotmail.co.th

สิ่งสำคัญมากเรี่องในการดำเนินชีวิตของเราในโลกปัจจุบันที่
เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน คือ การรู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร ตัวเราอยู่ตรงไหน
ตัวเราชอบอะไรหรืออยากทำอะไร ก่อน...แล้วมุ่งวางรากฐานไปเพื่อสิ่งที่
เราต้องการ โดยเริ่มจาการศึกษาหาข้อมูล, ฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนทักษะและ
ประสบการณ์ด้วยการลงมือทำจริงหรือแบ่งปันความรู้ที่มีไปตามโอกาส,
ค่อยหาโอกาสที่จะแสดงความสามารถอย่างเหมาะสม, มีปัญหาหรือ
ข้อสงสัยต้องหาคนที่จะชี้แนะเราได้ (อย่าอายที่จะถามและลองถาม
จากหลายที่) และต้องรู้จักที่จะปรับตัวเองไปให้เหมาะสมกับเหตุการณ์
หรือกระแสสังคม (ในทางที่ดี..นะครับ ที่ไม่ดีขอเพียงแค่รับรู้แต่อย่าไม่ทำตาม)

ที่บอกนี้ก็น่าจะเป็นแนวทางให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้ และที่สำคัญต้องไม่ทัอ
ทำใจให้สบายๆ ทำไปเรื่อยๆ นี้คือสิ่งที่ผมพยายามบอกกับลูกศิษย์ของผมทุกคน

ผมเชื่อว่าจากติดลบมันจะเป็นบวกและเพิ่มขึ้นไปได้เองอย่างมั่นคง...ครับ

มีอะไรก็เขียนมาคุยกับบนบล็อกได้ครับ ถ้าสิ่งที่ถามมาผมตอบให้ได้
จะตอบให้

** *** **